ย้อนรอย 105 ปี เส้นผมโลก
105 ปี เส้นผมโลก
จากยุควิคตอเรีย ปี 1900 สู่ ปี 2005
คงเป็นความพยายามของมนุษย์ในโลกนี้ที่จะแสดงการ “หลุดพ้น” และ “เอาเยี่ยงอย่าง” ไปพร้อมๆกัน ไม่ว่าจะเป็นยุคใด สมัยใดก็ตาม
แฟชั่น...จึงเป็นเสมือนตัวแทนของการเปลี่ยนแปลง และการเอาอย่างดังที่ได้กล่าวเอาไว้ตอนแรก
ทำให้ “นายเสื้อผ้า หน้าผม” จึงเข้ามารับหน้าที่แถลงไข และบอกเล่าถึงเรื่องราวของแฟชั่นที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์รวมเวลากว่า 100 ปีที่ผ่านมา ให้ท่านได้รับทราบ และลองนำไปศึกษา
โดยเฉพาะเรื่องของเส้นผมนั้น ถูกผู้ใหญ่ “ขอมา” ว่าจะขาดเสียมิได้ เพราะนี่คือ นิตยสารแฟชั่นผมของคนเสริมสวย
ฉะนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการสิ้นเปลืองเวลาเรามาว่ากันด้วยเรื่อง 105 ปีของเส้นผมโลกบนด้ายขึงของประวัติศาสตร์ที่ได้รับการบันทึกมา และถูกนำมาป้ายด้วยหมึกพิมพ์ให้ท่านอ่านกันพอให้สบายใจไม่เคร่งเครียด
อันว่าเรื่องของผม...และแฟชั่นผมนั้นมีมาในโลกมนุษย์ยาวนานมาก ตั้งแต่ยุคของกรีก หรือยุคก่อนศาสนาคริสจะอุบัติขึ้นเสียอีก อย่างยุคของอียิปต์ เรื่องราวของแฟชั่นผมก็ถูกนำมาเสนอในรูปแบบของภาพยนต์และภาพประวัติศาสตร์โบราณ
แต่เพื่อไม่ให้ผู้อ่านต้องเสียเวลาหรือพยายามย้อนยุคมากไป เราจะขอกล่าวถึงแฟชั่นผมในยุคศตวรรษที่สิบเก้าเป็นต้นไป โดยเว้นที่จะกล่าวถึงแฟชั่นผมในยุคศตวรรษที่สิบเจ็ด และศตวรรษที่สิบแปด ซึ่งถือว่าเป็นยุคที่แฟชั่นผมเฟื่องฟูมากในหมู่ขุนนาง ราชวงศ์ ผู้มีศักดินา โดยเฉพาะยุคศตวรรษที่สิบแปดนั้นถือว่าเป็นยุคของการใช้ “วิกผม” มากที่สุดยุคหนึ่ง ซึ่งใช้วิกผมทั้งผู้ชายและผู้หญิง
หมดจากยุคศตวรรษที่สิบแปดหรือเรียกกันว่า “สไตล์โรโกโก” ซึ่งผู้หญิงยุคนั้นยังคงยึดถือแฟชั่นผมแบบเดียวกับยุค “เรเนอร์ซองต์” อันถือเป็นยุคเปลี่ยนประวัติศาสตร์แฟชั่นผมเสื้อผ้าอย่างสิ้นเชิงจากยุคอดีต
และยุคเรเนอร์ซองต์นี้เองถือเป็นยุคที่กำเนิด “ปัจเจกชน” หรือคนที่กล้าเปลี่ยนแปลงตัวเองจากชนหมู่มากออกไป และสามารถทำให้คนอื่น “เอาเยี่ยงอย่าง” ทำตามได้แม้จะอยู่ภายใต้กฏระเบียบ แบบแผน ของขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ซึ่งเป็นยุคของศาสนจักรครองโลก
กลับเข้าสู่แฟชั่นผมยุค “วิคตอเรีย” อันเป็นยุคที่เริ่มต้นตั้งแต่ ปีค.ศ.1900 เป็นต้นไป ก่อนหน้านี้ผู้หญิงมักจะไว้ผมยาว แล้วรวบเกล้าขึ้นบนกลางศีรษะ ปล่อยปลายผมลงมาเล็กน้อยให้ปลายผมหยิกฟูเป็นลอน เน้นให้เห็นต้นคอยาวระหง
ในปี ค.ศ.1904 นี้เองมีการดัดผมเป็นลอนแบบถาวรเกิดขึ้นครั้งแรกที่ประเทศอังกฤษด้วย
ผู้หญิงในยุคโรโกโกนั้นจะเริ่มรักษารูปทรงเน้นความเพรียวสวย มากกว่าการแสดงให้เห็นความสมบูรณ์เจ้าเนื้อเช่นอดีต
ซึ่งพอเข้าสู่ยุควิคตอเรียสังคมและแฟชั่นจะแสดงออกถึงความฟุ้งเฟ้อ จอมปลอม เสรแสร้ง และการกดขี่
ข้าราชการ ขุนนาง ผู้มีศักดินา ใช้ชีวิตในแบบแสนสบาย ฟุ้งเฟ้อ ตื่นสาย ผู้หญิงใช้เวลาแต่งตัวครึ่งค่อนวัน ตนเย็นเล่นไพ่ เต้นรำ ดื่มกิน ทำให้ยุคสมัยนี้เกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง จนราชินีวิคตอเรียที่เป้นผู้นำแห่งความฟุ้งเฟ้อต้องหมดอำนาจลงไปอย่างสิ้นเชิง
รวมถึงแฟชั่นอันวิจิตรพิศดารในสมัยของพระนางด้วย ที่จบชีวิตลงไปในปี 1901 หลังจากยุคนี้เป็นช่วงหนึ่งของการปฏิวัติสังคม ผู้ชายต้องสวมหมวกแดง แสดงถึงอิสรภาพ (Bonnet Rouge) หลายคนเริ่มหันมาแต่งตัวแบบ “สุดขั้ว”
ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย แต่งผมให้เป็นกระเซิง จนดูไม่มีระเบียบเพราะไม่อยากขัดแย้งกับกลุ่มอำนาจปฏิวัติในยุคนั้นที่ชิงชังการแต่งตัวหรูหรา
กระทั่งเกิดสไตล์การแต่งตัวที่เรียกว่า “สไตล์ดิแนกตัวร์ และสไตล์อังปีร์” ซึ่งยุคนี้เป็นยุคของผู้หญิงอย่างแท้จริง เนื่องการแต่งกายจะสลับซับซ้อนกว่าของผู้ชายเป็นอย่างมาก รวมถึงทรงผมด้วย
ผมของผู้หญิงในยุคมักจะใช้ทรงผมในยุคกรีกเป็นแม่แบบ นั่นคือ หวีผมจากด้านหน้ารวบไปด้านหลัง ทำเป็นห่วงหรือหลอดไว้ด้านหลัง และทำให้ด้านหน้าโดยรอบม้วนเป็นลอนเป็นคลื่นเล็กๆ ลักษณะผมแบบนี้ลองนึกภาพรูปปั้นผู้ชายโรมันดูท่านอาจพอนึกออก
แบบผมยุคนี้จะเน้นสไตล์หยิกทั้งสั้นและยาว ซึ่งจะเรียกว่า A La Victime
ส่วนผู้ชายมักจะไว้ผมสั้นใบหน้าโกนเกลี้ยงเกลา แต่จะดูโดดเด่นด้วยจอนยาวหยิก
สไตล์อังปีร์และสไตล์ดิแรกตัวร์นี้ได้รับความนิยมอยู่ในช่วงปี 1900 จนถึงปี 1910 ก่อนที่ยุคของสไตล์โรแมนติกจะเข้ามา
หากจะกล่าวโดยรวมแล้ว สไตล์โรแมนติกนั้นถือว่าเป็นการตอบโต้สไตล์คลาสสิกยุคก่อนนี้ พวกโรแมนติกจะให้ความสำคัญของเนื้อหามากกว่ารูปทรง
วิถีชีวิตของพวกโรแมนติกจึงเน้นที่ เครา ผมยาว ใช้เครื่องนุ่งห่มประหลาด การแสดงออกที่รุนแรง แต่ในด้านทรงผมแล้วสไตล์โรแมนติก ผมจะเน้นการแสกกลางศีรษะ รวบผมแล้วมัดผมม้วนแน่นเป็นเปียพาดรอบหน้าผากและกกหู ส่วนด้านหลังม้วนผมรวบจับเป็นกลุ่ม เป็นมวย ไม่ก็ทำเป็นลอนยาวในช่วงเวลากลางคืน
ถัดมาอีก 4-5 ปีสไตล์โรแมนติกมีการเปลี่ยนแปลงบ่างเล็กน้อยด้วยการนำเอาผมปลอมมาจัดเป็นห่วงหรือเปียเสริมแทนผมจริง
นอกจากนี้ช่วงท้ายๆของสไตล์โรแมนติกยังมีการนำเอาวัฒนธรรมของจีนมาใช้ เรียกว่า A La Chinoise หมายถึงสไตล์แบบจีน โดยการดึงผมจากด้านหลังและด้านข้างมารวบเป็นปมกลางศีรษะ ในบริเวณหน้าผากและกกหูจัดผมให้เป็นวงๆ
ช่วงนี้เองยังมีการเครื่องประดับ เครื่องประกอบผมมาใช้มากขึ้นแทนหมวก เช่น หวีที่ทำจากกระดองตะพาบน้ำ ริบบิ้น ดอกไม้ ขนนก
เข้าสู่ปี ค.ศ.1938 ผมยังคงแสกกลางดึงเรียบเข้าหากกหู จัดรูปทรงเป็นทรงโค้งปิดหู และที่นิยมมาก คือ การทำเปียห้อย หรือขึ้นผมให้เป็นห่วงเป็นม้วนด้านข้างหูทางด้านหลังรวบเป็นมวย
ส่วนผู้ชายนิยมผมสั้น แต่ไว้จอนจนยางต่อกับเคราที่เน้นให้เครามีพู่เล็กๆ หรือมีปลายแหลมทั้งสองข้างไปจนถึงช่วงริมปลายปาก เรียกว่า Whiskers
สไตล์กรีโนลีนเป็นแฟชั่นในยุคปี 1890-1900 ทรงผมยังนิยมเหมือนสไตล์โรแมนติก แต่ว่า สไตล์กรีโนลีนนั้นจะเน้นการรวบเกล้าแล้วม้วนดัด ม้วนลอน และม้วนมวยผมไปด้านหลังและด้านข้าง โดยมีการนำเอาหมอนสอดไปด้านข้างของผม เพื่อช่วยให้ดูบานกว้างออก
นอกจากนี้ยังใช้ผมปลอมเสริมมากขึ้น และนิยมใช้ตาข่ายในการครอบผมไว้ไม่ให้ผมเสียทรงง่าย
ส่วนผู้ชายนั้นยังคงไว้ผมสั้น แต่นิยมไว้เครามากขึ้นจนการโกนหนวดให้ใบหน้าเกลี้ยงเกลาสะอาดไม่ได้รับความนิยมอีกต่อไป
ในช่วงนี้เองยังมีสไตล์บัลซึมได้รับความนิยมในกลุ่มแฟชั่นยุโรปอีกด้วย ผมโดยปกติจะนิยมไว้แสกกลาง ทำเป็นลอนหยิกรอบใบหน้า แล้วดึงกลับไปทางด้านหลัง มีผมม้า (Bangs) และชายหยิกเป็นลอนปิดหน้าผาก ส่วนด้านต้นคอนั้นนิยมไว้ปอยหยิกเล็กๆเช่น ทำเป็นรอยเว้าไว้บริเวณต้นคอ
ขณะเดียวกันจะเน้นการทำผมให้หยิกเป็นลอนคล้ายขั้นบันไดไล่ไปจนถึงหลังศีรษะ และนิยมสวมหมวกประดับบนศีรษะโดยให้หมวกเอียงเล็กน้อย
ถัดจากยุคโรแมนติกมาแล้วก็ถือเป้นยุคของสไตล์เก้าศูนย์ ซึ่งทรงผมในยุคนี้ผู้หญิงส่วนมากจะไว้ผมเป็นพู่หยิกทางด้านหน้า ม้วนแล้วจัดผมให้เป็นหลอด เป็นลอนไว้ด้านบน หรือเน้นการทำลอนลึกรอบใบหน้า แล้วหวีผมให้โป่งพอง เปิดส่วนหูไม่ให้มีผมปิด
ว่ากันว่ายุคนี้เองที่ส่งอิทธิพลทรงผมให้ใช้การหวีและไดร์ผมให้โป่งพองมากขึ้น มากกว่าการเพิ่มปริมาณผมด้วยการม้วนลอนธรรมดา หรือไว้เปีย
ส่วนผมผู้ชายนั้นยังคงตัดผมสั้น เน้นแสกข้าง นิยมไว้หนวดเคราด้านข้างเป็นกระจุก โดยหันมาโกนใบหน้าให้เกลี้ยงเกลาขึ้นแล้วไว้หนวด
ทั้งหมดนี้เป็นแฟชั่นผมที่นิยมทำกันมากในช่วงศตวรรษที่สิบเก้า กระทั่งก้าวเข้าสู๋ศตวรรษที่ยี่สิบการเปลี่ยนแปลงทางแฟชั่นก็ถึงยุคสมัยใหม่ๆมากมาย เนื่องจากช่วงนี้เกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และสงครามโลกครั้งที่สอง จนเกิดสไตล์ใหม่ขึ้นที่เรียกว่า “สไตล์นิวลุค”
นอกจากนี้ยังเข้าสู่สไตล์สงครามเย็น ซึ่งทำให้แฟชั่นผันผวนเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงไปสู๋ยุคที่เรียกว่า สไตล์มอดส์ และสไตล์ฮิปปี้
ในช่วงศตวรรษที่ยี่สิบนี้แฟชั่นตื่นตัวมากเนื่องจากมีสื่อเกิดขึ้นนั่นคือ สื่อภาพยนต์ และดาราภาพยนต์หลายคนกลายเป้นตัวแทนของสังคม มีคนนิยมเอาอย่าง
ช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งสไตล์เอดเวอร์เดียนได้รับความนิยมสูง ผู้หญิงมักไว้ผมโดยจัดให้โป่งและลุ่ยรอบๆใบหน้า ด้านหลังเกล้าเป็นมวยหรือเป็นก้อนตกอยู่ทางด้านลำคอ พร้อมกับการดัดผมถาวรก็ได้รับความนิยมสูงขึ้น ผู้หญิงส่วนใหญ่ในสังคมชั้นสุงนิยมดัดผม
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนั้น ทรงผมกลับเปลี่ยนไปเพราะปัญหาทางเศรษฐกิจ และความยากลำบากแร้นแค้นในภาวะสงคราม ผู้หญิงจะทำผมให้พองน้อยลง แต่นิยมหันมาทำผมเป็นลอนเบาๆรอบๆใบหน้าแทน โดยดึงผมรวบไปด้านหลังเป็นมวย
แต่ผมดัดยังคงได้รับความนิยมอยู่ ทว่าจะเริ่มมีการหันมาไว้ผมสั้นมากขึ้น
สำหรับผู้ชายช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ผมสั้นยังคได้รับความนิยมต่อไปแต่การไว้เคราหมดบทบาทลงไปมากเนื่องจากพิษสงครามโลก และภัยจากแก๊สพิษ หากไว้เคราจะใส่หน้ากากกันแก๊สพิษได้ลำบาก
หลังหมดยุคสงครามโลกครั้งที่หนึ่งหมาดๆ ถือได้ว่าเป็นโลกของภาพยนต์อย่างแท้จริง กระแสภาพยนต์มาแรงรวมถึงเป็นสื่อให้แฟชั่นต่างๆมีการเปลี่ยนแปลงไป ปี 1920 รูดอล์ฟ วาเลนติโน ดาราชายเจ้าบทบาททำให้ผู้ชายทั่วโลกหันมาใช้น้ำมันใส่ผมหวีผมเรียบแปล้เป็นมันเงา
ขณะที่ผู้หญิงเอาอย่างดาราสาวชื่อดัง โจน ครอว์ฟอร์ด ที่ไว้ผมสั้นน่ารัก
แถมด้วยการฟอกผมสีเป็นสีบลอนด์เพื่อเลียนแบบดาราสาว จีน ฮาร์โลว์
ส่วนเด็กผู้หญิงพ่อแม่จับให้ลูกทำผมเลียนแบบดาราเด็กผู้น่ารักอย่าง เชอร์ลี แทมเปิล
หากเป็นกลุ่มวัยรุ่นผู้หญิงสาววัยรุ่นจะไว้ผมทรง เพจบอย ซึ่งเป็นผมทรงมหาดเล็กเหมือน จูน อัลลิสัน โดยการทำเป็นลอนลงมาปิดตาข้างหนึ่งไว้ หรือไม่ก็ไว้ผมทรง พิกคะบู แบบ เวโรนิกา เลค
ขณะที่เด็กชายวัยรุ่นจะไว้ผมสั้นเรียบง่ายเกลี้ยงเกลาหรือรองทรงแบบเด็กผู้ชายอเมริกัน หวีเป๋แสกข้างเหมือนดาราดังชื่อ แวน จอห์นสัน
ผมสั้นกลายเป็นที่ยอมรับไปทั่ว สาวในวิทยาลัยต่างๆทั่วสหรัฐไว้ผมสั้นแล้วแบบที่เรียกว่า “ผมบ๊อบ” (Bobbed) จนมีการร้องเพลงล้อเลียนเพลงจิงเกิลเบลล์ เป็นชื่อเพลง ชิงเกิลบ๊อบ (Shingle Bob) ซึ่งหมายถึงการไว้ผมสั้น โดยตัดสั้นเป้นพิเศษทางด้านหลังแล้วทำให้ลาดเอียงไปติดท้ายทอยเหมือนผู้ชาย
ผู้หญิงบางคนไว้ผมสั้น แต่ยังคงไว้ผมด้านหน้าผากยาวปิดลงมาจนถึงคิ้ว เรียกว่า “ผมม้า” แล้วให้ปลายผมพลิ้วกลับไปด้านใน
มีผู้หญิงจำนวนมากในช่วงอายุยี่สิบปีตัดผมสั้นมากเป็นพิเศษ จนดูเหมือนกับการไว้ผมแบบผู้ชาย
ผู้หญิงบางคนนิยมผมบ๊อบแบบเหยียดตรง และไว้ผมบ๊อบแบบดัดหยิกเป็นลอนลึกทั่วศีรษะ โดยมีเข็มกลัดหนีบที่เรียดว่า เข็มกลัดบ๊อบบี้เข้ามาเสริม
ความนิยมในการใช้เข็มกลัดหนีบผมเริ่มมากขึ้น จนมีการพัฒนากิ๊ปหนีบผมมาใช้มากมายหลายรูปแบบ
กระทั่งย่างเข้าปลายศตวรรษที่ยี่สิบผู้หญิงจึงเริ่มหันกลับมาไว้ผมยาว และเริ่มไว้ลอนหยิกเล็กๆที่ด้านหลัง
ช่วงปี 1930-1940 นั้นทรงผมนิยมไว้ค่อนข้างสั้นในตอนต้นๆ เน้นมีคลื่นลอน เป็นลอนหยิกสั้นอยู่ตรงกกหูและลำคอ แต่พอล่วงเข้าใกล้ปี 1940 ผมบ๊อบมหาดเล็ก (ผมเหยียดตรง แล้วงอนตอนปลาย) ก็กลับมานิยมมากขึ้น ในคนที่ไว้ผมสั้นหน่อย
แต่สำหรับผู้หญิงที่ชอบไว้ผมยาวจะนิยมผมทรง “ปงปาดูร์” ที่เน้นการยกผมให้สูงในด้านหน้าและด้านข้าง ส่วนผมด้านหลังใช้การยกผมม้วนขึ้นมาเป็นรูปตัวยู โดยมีการใช้ตาข่ายมาครอบป้องกันการเสียทรงด้วย
อีกสไตล์หนึ่งที่ได้รับความนิยมไม่น้อย คือ สไตล์ขนปุย หรือ เฟเธอร์ คัท ซึ่งเป็นผมสั้นแต่หยิก
ในยุคนี้เองที่ผู้หญิงในกลุ่มสังคมชั้นสูงหันมาถอนขนคิ้วเพื่อให้เห็นเป็นเส้นเรียว หรือไม่ก็ถอนขนคิ้วออกหมดแล้วใช้ดินสอเขียนคิ้วให้โค้งเรียวแทน
แป้งผัดหน้าดูเหมือนจะขาดมาได้ เพราะผู้หญิงที่ดูนำสมัยนั้นจะต้องทำใบหน้าให้ดูคล้ายสวมหน้ากาก ลิปสติกที่ผลิตขึ้นมาครั้งแรกในปี 1915 ได้รับความนิยมจนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นเดียวกับแป้งผัดหน้า
ส่วนผู้ชายหันมาให้ความสนใจการแต่งผมด้วยน้ำมันแต่งผม ส่วนหนวดนั้นเน้นการไว้หนวดแบบเรียวเล็กเท่าเส้นดินสอ ผมเรียบเป้นมันเงา
พอเข้าสู่ช่วงท้ายๆปี 1940 ผู้ชายนิยมการดัดผมให้เป็นลอนตามอย่างผู้หญิง แต่การไว้หนวดลดลงเนื่องจากอิทธิพลของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ที่ไว้หนวด จึงไม่มีใครอยากไว้หนวดเหมือนฮิตเลอร์
ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่เรียกว่า “ยุคนิวลุค” และ “ยุคสงครามเย็น” ตั้งแต่ปี 1940-1950 แฟชั่นใหม่มาแรงในกลุ่มวัยรุ่นมาก นั่นคือ แฟชั่น “เท็ดดี้บอย”
เท็ดดี้บอยเป็นการผสมผสานกันของรูปแบบเสื้อผ้าหลากหลาย มีการใส่สูท แจ๊กเก็ตหลวม มีเสื้อกั๊กทับเสื้อเชิ๊ต แล้วผูกเนกไทแคบๆ ใส่รองเท้าหัวแหลม ขากางเกงแคบสั้น เพื่อโชว์ให้เห็นถุงเท้าหลากสีสัน
ทรงผมเน้นสั้นหวีเป๋ ท้ายทอยสั้นสะอาดใบหน้าเกลี้ยงเกลา ไว้จอนหูแต่พองาม
จากยุคนี้ไปนี่เองที่ถือว่าเป็นยุคนิวลุค เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง การเปลี่ยนแปลงทางแฟชั่นค่อนข้างรุนแรง
ปี 1947-1964 ช่วงต้นๆทรงผมเน้นที่ผมสั้น กระทั่งเข้าสู่ปี 1950 ผมยาวจึงเริ่มกลับมา นิยมอีกครั้ง
จุดเปลี่ยนในเทคนิคการทำผมเริ่มต้นขึ้นในช่วงปี 1960 นี้เอง การ “ยีผม” (Bockcombing) หรือการหวีผมกลับหลัง เป็นการยีผมให้โป่งก่อนเซ็ตผมให้เข้าทรงแบบแนวบ๊อบ หรือแนวผมผมยาวเกล้าราตรีได้รับความนิยมอย่างสูง ช่างผมส่วนใหญ่เริ่มใช้เทคนิคการยีผมให้กับลูกค้าเพราะช่วยให้การทำงานของช่างง่ายขึ้น
ปี 1960 เป็นยุคใหม่ของกลุ่มวัยรุ่นอย่างแท้จริง กลุ่มวัยรุ่นพวกนี้ถูกเรียกว่า มอดส์ (Mods) หรือ ร็อกเกอร์ (Rockers) คนกลุ่มนี้เน้นวิถีชีวิตแบบการแสดงออกเฉพาะตน แสวงหาความรัก เมายา และบทกวี
แฟชั่นของพวกเขาคือ การไว้ผมยาว เก๋ แว่นตาทรงคุณย่าขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันก็มีกลุ่ม ฮิปปี้ เกิดขึ้นมาโดยไว้ผมยาวถึงไหล่ในหมู่ผู้ชาย ผู้หญิงไว้ผมยาวจนถึงก้น แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหลากสี มีผ้าคาดศีรษะ จนถูกเรียกว่า “ฮิปปี้-ยิปซี”
สำหรับแฟชั่นกลุ่มนี้เกิดขึ้นครั้งในงานมหกรรมดนตรีวู๊ดสต๊อก ซึ่งถือเป็นงานที่รวมศิลปะและการแสดงความคิดของคนรุ่นใหม่ และเป้นการฟังเพลงแห่งการปฏิวัติด้วย
เมื่อหมดจากยุคมอดส์และฮิปปี้แล้วก็เข้าสู่ยุค ยีนส์ครองเมือง...!!
ยีนส์...ถูกนำมาใช้แพร่หลายไม่เพียงแต่ในกลุ่มเกษตรกรเช่นอดีต แต่ยีนส์ถูกนำมาใช้กับกลุ่มวัยรุ่นนักศึกษาที่นิยมการประท้วง ต่อต้านต่างๆ จนกลายเป็นเครื่องแบบของนักต่อต้านไป ในที่สุดกระแสนิยมยีนส์ก็เกิดขึ้น
ผู้หญิงนิยมรวบผมเกล้าขึ้นมัดไว้ด้านหลังแบบง่ายๆ เบาๆ ไม่รวบตึง ส่วนผู้ชายนิยมไว้ผมยาวแบบมีรากไทร จนถึงยาวถึงไหล่
ยุคนี้เองที่ผมทรง “แอฟโฟร” (Afro) ได้รับความนิยมในหมู่ผู้หญิงและผู้ชาย โดยได้รับอิทธิพลจากชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกาที่มีผมหยิกตามธรรมชาติ การไว้ผมหยิกยาวมีมาจนถึงปัจจุบัน ขณะเดียวกันผมสไตล์แอฟโฟรมีการตัดสั้นลงให้แนบศีรษะ หรือไม่ก็ถักให้เป็นกระจุกแนบศีรษะแบบถักแถวเมล็ดข้าวโพด (Corn-row Braids) ซึ่งผู้นำที่ทำให้คนอื่นเอาอย่างก็คือ โบ ดีเรก ดาราสาวสุดเซ็กซี่ จากภาพยนต์เรื่อง เทน (10) นั่นเอง
จากปี 1960 เป็นต้นมา ช่างตัดผมกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ของประชาชนที่รักแฟชั่น เพราะอิทธิพลของ “เดอะ บีทเทิลส์”
เมื่อถึงกลางศตวรรษที่ยี่สิบ ผมเริ่มกลับมาสั้นลงอีกครั้ง แต่มีลักษณะที่นิ่มและเป็นทรงธรรมชาติมากขึ้น ผมได้กลายมาเป็นแฟชั่นอย่างเต็มตัวผิดจากอดีตที่ผมเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการปรับให้เหมาะสมกับเสื้อผ้า
ปี 1970 ผู้หญิงหลายกลุ่มหันมาไว้ผมสั้นแนบศีรษะแบบหยิกม้วนเป็นกระจุก ที่เรียกว่า “สไตล์ฟริซซี่” (Frizzy) โดยเอาอย่างดาราเจ้าบทบาท บาบาร่า สตรายแซนด์ ในภาพยนต์เรื่อง อะ สตาร์ อิส เบิร์น
พอเข้าสู่ปี 1976 ผมสั้น “แบบลิ่ม” ได้รับความนิยมสุงมากเพราะความนิยมในตัวนักกีฬาหญิงที่ชอบไว้ผมสั้นลงแข่งขันเพื่อความคล่องตัว และกลายมาเป็นทรงผมบุคคลทำงานสไตล์หญิงมั่นถึงปัจจุบันนี้
อีกทรงที่กลายเป็นทรงอมตะมานานหลายสิบปี คือทรงฟาร์ร่า ซึ่งจริงๆแล้วเรียกว่า ทรงเมอเน ที่ทำผมเซ็ตเป็นทรงโป่ง มีเส้นเป็นลายสี แต่พอดาราสาวอย่างฟาร์ร่า ฟอว์เซ็ต นำมาใช้ในภาพยนต์เรื่อง นางฟ้าชาลี คนเลยนิยมเรียกว่า ทรงฟาร์ร่าตั้งแต่นั้นมา
ในช่วงสุดท้ายที่จะกล่าวต่อไปนี้ก็คือ การเข้าสู่ยุคผมพั๊งก์ซึ่งได้รับความนิยมในกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งมาแล้ว แต่ได้มีการนำเอาสไตล์พั๊งก์มาใช้ในแฟชั่นผมปัจจุบันนี้ นั่นคือการทำสีผม
และเข้าสู่ยุคการไว้ผมยาวเหยียดตรง เน้นธรรมชาติไม่ทำสี หรือทำสีแต่เพียงบางๆเป็นไฮไลท์ และปัจจุบันเป็นยุคที่มีทรงผมหลากหลายมากที่สุด คือมีทั้งผมสั้น ผมยาวเหยียดตรง ผมยาวหยิกปลาย การทำสีผม การดัด
สุดท้ายมีการคาดเดาไว้ว่า ผมแสกข้างจะกลับมาในแฟชั่นทรงผมของผู้หญิงยุคใหม่....!!
กว่า 100 ปีที่ผ่านมา ทรงผมได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมากมาย และก้าวเข้าสู่ยุคย้อนกลับ หรือการย้อนยุคมากขึ้น การก้าวตามแฟชั่นดูเหมือนจะเป็นอีกวัฒนธรรมหนึ่งที่ขาดไม่ได้
ดังนั้นช่างเสริมสวย หรือผู้บริโภคทั่วไปจึงควรจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับแบบผม รวมถึงแฟชั่นผมมากขึ้น เพื่อสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับตนเองอย่างเหมาะสม ตามรูปแบบของเสื้อผ้าการแต่งกาย
สุดท้ายนี้เชื่อแน่ว่าแฟชั่นแบบผมจะเน้นไปที่ความสะดวกสบายมากขึ้น เพราะเวลาที่รัดตัวจะเร่งเร้าให้แฟชั่นปรับตัวเองมาให้สะดวก รวดเร็ว แทนการเสียเวลาในร้านมากเกินไป
ผมที่ออกแบบจึงเน้นการดูแลรักษา มากกว่า การเป็นแฟชั่นชั่วครั้ง ชั่วคราว สไตล์ตีโป่ง การยีผมเริ่มหมดความนิยมลงไป และการตัดผมด้วยกรรไกรยังคงได้รับความนิยมไปอีกไม่น้อยกว่าหนึ่งศตวรรษ ขณะที่ปัตตาเลี่ยนอาจจะกลายเป็นหนึ่งในของเก่าในพิพิธภัณฑ์
ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมจะมีความสำคัญมากขึ้น ผมยาวจะกลับมาอีกครั้ง ขณะที่ผมสั้นจะเน้นที่สั้นมากติดหนังศีรษะ
จากยุควิคตอเรีย สู่ยุค 2005 เชื่อว่า ไม่เกิน 10 ปี ผมทรงกรีกจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง....!!
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น