วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เคล็ดลับความสวยด้วยผัก

สวยด้วยผัก + ผลไม้รสเปรี้ยวจี๊ด

ว่าเรื่องผัก + ผลไม้ ใครๆ ก็ปลื้มเพราะทั้งราคาถูก หาง่าย แถมทำสวยได้แบบไม่มีอันตราย เพราะปราศจากสารเคมีอีกต่างหาก แต่เพื่อนๆ อาจงงว่า แล้วผัก + ผลไม้แบบไหนล่ะที่เวิ้ร์ก เหมาะกับการมาทำสวย




1. สวยด้วยมะนาว



เมื่อพูดถึงรสเปรี้ยว สิ่งแรกที่เรามักจะนึกถึงก็คงหนีไม่พ้นมะนาว ที่เราใช้ประโยชน์เพื่อเมกความงามได้เยอะมาก อยากรู้กันใช่ไหมล่ะว่าเป็นไงบ้าง จัดให้...

มะนาวกับหน้าสวย

มะนาวช่วยให้เราหน้าสวยใสได้สบายมาก มีสูตรเริ่ดๆ มาฝากดังนี้เลย

1. นำมะนาวผสมกับดินสอพอง หมักทิ้งไว้สักพัก แล้วทาเบาๆ ทั่วใบหน้า นอนทิ้งไว้ 1 คืน เช้าขึ้นมาล้างหน้าออกให้สะอาด จะพบว่าหน้าลื่น เนียนใส ได้ใจกรรมการสุด สูตรนี้เหมาะกับคนผิวมันนะจ๊ะ

2. นำอะโวคาโด 1 ผล มาปั่นให้ละเอียด บีบมะนาวไปครึ่งผล คนเข้าเข้ากัน เติมน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา คนให้เข้ากันอีกครั้ง จากนั้นนำมาทาใบหน้า เว้นรอบดวงตาทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นและโฟมล้างหน้า ผิวหน้าจะเนียมชุ่มชื่น เหมาะกับคนผิวแห้งเลยค่ะ

3. ปอกเปลือกแตงกวา 1 ผล แล้งหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปปั่นพร้อมกับไข่ขาว 1 ฟอง บีบมะนาวลงไป 1 เสี้ยว คนให้เข้ากัน แล้วนำมาพอกหน้าไว้ 25 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่นและโฟมล้างหน้า หน้าจะชุ่มชื่น เนียนกิ๊งเลย


มะนาวกับผมสวย

นอกจากใบหน้าแล้ว มะนาวยังช่วยให้เราผมสวยได้อีกนะ คุณประโยชน์ของมะนาวเกี่ยวกับผมก็คือ มันจะช่วยดูแลเส้นผม และหนังศรีษะให้แข็งแรง และช่วยลดรังแคด้วยนะ

1. นำมะนาว 8 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำบริสุทธิ์ครึ่งถ้วย คนให้เข้ากัน แล้วนำมานวดลงบนศรีษะและเส้นผม เพื่อช่วยผ่อนคลายและช่วยระบบหมุนเวียนของโลหิตและระบบประสาท จากนั้นหมักทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมงจึงล้างออก จะช่วยล้างรังแคออกไป และทำให้ผมสวย สุขภาพแข็งแรง

2. ตีไข่แดง 2 ฟองให้ขึ้นฟู (เน้นว่าเฉพาะไข่แดงนะจ๊ะ) จากนั้นค่อยๆ เติมน้ำมะนาวลงไปครึ่งช้อนชา ตีให้เข้ากัน แล้วเติมน้ำอุ่น คนต่อให้เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นราดน้ำและซับเส้นผมให้เปียกหมาดๆ นำครีมที่ได้นวดให้ทั่วศรีษะประมาณ 2 นาที แล้วให้คลุมผมทิ้งไว้อีกประมาณ 10 นาที แล้วค่อยล้างออกให้สะอาด ผมจะนิ่ม มีน้ำหนัก และเงางาม

มะนาวกับสุขภาพดี

เรื่องมะนาวทำสวยที่เล่ามายังไม่หมดนะ การกินมะนาวยังช่วยให้เราสุขภาพดีได้ด้วย มาดูว่าทำได้ไง

1. นำมะนาว น้ำผึ้ง น้ำต้มสุก อย่างละเท่าๆ กันมาผสมให้เข้ากัน จากนั้นค่อยๆ จิบจนหมด และแปรงฟัน บ้วนปากให้เรียบร้อย จะช่วยขจัดสารพิษ สิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกาย ทำให้ร่างกายเราสะอาด ไม่เป็นแหล่งสะสมของสารพิษ แถมยังช่วยขับปัสสาวะ ขจัดเสมหะ และแก้ไอได้ด้วย

2. การกินอาหารที่ปรุงด้วยมะนาวจะทำให้เราได้ประโยชน์หลายอย่างดังนี้
- ต่อต้านอนุมูลอิสระ ตัวการที่ทำให้เกิดริ้วรอย
- ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
- ผิวสวยสดใส ได้ใจ
- ร่างกายสดชื่น แจ่มใสสุดๆ ไปเลย


2. สวยด้วยมะกรูด



พี่น้องกับมะนาวคงหนีไม่พ้นมะกรูด พืชตระกูลส้มผิวขรุขระชนิดนี้ ทำให้เราสวยกิ๊งได้นะ

มะกรูดกับผมสวย

1. ผ่ามะกรูดเป็น 2 ชิ้น ใช้สระผมหลังสระด้วยแชมพูไป 1 รอบแล้ว จากนั้น ล้างผมออกให้หมด ผมจะสวย นุ่ม เงางาม

2. นำผลมะกรูดไปเผาไฟแล้วผ่าซีก แล้วนำไปสระผม จะช่วยบำรุงผมให้ดกดำเป็นเงางามมากขึ้น แถมยังทำให้ผมไม่หงอกเร็ว ลื่น หวีง่าย ไม่ร่วงด้วยล่ะ

มะกรูดกับสุขภาพดี

1. หากมีอาการไอ ให้บีบน้ำมะกรูดลงคอ 5-6 หยด ทุก 5-10 นาที จะช่วยแก้ไอและละลายขับเสมหะได้

2. ฝานผิวมะกรูดสดเป็นชิ้นเล็กๆ เติมการบูรหรือพิมเสน ชงในน้ำเดือด จากนั้นแช่ทิ้งไว้สัก 30 นาที แล้วดื่มน้ำมะกรูด (เนื้อไม่ต้อง) จะช่วยขับลมได้

3. ลูกมะกรูด หากนำมาดองกินจะช่วยฟอกเลือดได้


3. สวยด้วยส้ม



ส้มเป็นผลไม้รสเปรี้ยวหวานที่ได้ใจเอามากๆ ด้วยกลิ่นหอมๆ หากินง่าย ราคาถูก แถมมีประโยชน์มากมายด้วยนะ

ส้มกับหน้าสวย

เรามาดูกันว่า เราจะใช้ส้มเมกหน้าของเราให้สวยได้ยังไงบ้างนะ

1. ทำความสะอาดผิวหน้าของเรา จากนั้นให้นำกากส้มมาพอกบนใบหน้า ทิ้งไว้ซัก 15 นาที แล้วนำผ้าเปียกมาเช็ดออกอย่างเบามือที่สุด ไม่ต้องล้างออกด้วยน้ำ เท่านี้ใบหน้าก็จะสดใสไปนานเลยจ้า

2. คั้นน้ำส้มสด 1 ถ้วย จากนั้นนำมาผสมโบเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย (อย่าใช้โยเกิร์ตรสส้มนะจ๊ะ ไม่เหมือนกัน) พอกหน้าทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยโฟมล้างหน้าให้สะอาด ใบหน้าจะขาว ใส นุ่มเนียนค่ะ

ส้มกับผมสวย
นอกจากหน้าใสแล้ว ส้มยังช่วยให้ผมสวยอีกด้วยนะ

ตีไข่ 1 ฟองในน้ำส้มคั้นจนเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำมานวดให้ทั่วทั้งเส้นผมและหนังศรีษะ จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วสระออกให้สะอาด ผมที่เคยมันมาก ก็จะหายมันและนุ่มสลวยจ้า อ้อ...ไม่เหมาะกับคนผมแห้งเสียนะ

ส้มกับสุขภาพดี

ส้มมีประโยชน์กับร่างกายมากๆ เลย จะสาธยายให้ฟัง

- การกินส้มช่วยรักษาและป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันได้
- กากส้มช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย
- เปลือกผลแห้งจะมีน้ำมันหอมระเหยซึ่งสามารถสกัดออกมาเพื่อใช้ขับลมได้
- กินส้มวันละ 1 ผล ช่วยลดอัตราเสี่ยงของมะเร็งบางชนิด

นอกจากนี้ส้มยังมีประโยชน์อีกมากมาย เช่น

- ป้องกันโรคไข้หวัด
- บรรเทาอาการกระหาย
- ลดปริมาณของคอเลสเตอรอลในเลือด

4. สวยด้วยมะม่วง



ผลไม้เปรี้ยวๆ ที่จะนำมาเสนอต่อมาก็คือ มะม่วง ผลไม้หลักของคนไทยนี่เอง มะม่วงนั้นนอกจากจะมีรสชาติถูกปากแล้ว ยังมีประโยชน์ตรึมเลยนะ

มะม่วงกับหน้าสวย

มะม่วงเอามาใช้พอกหน้าได้ด้วย ทำดังนี้

1. นำมะม่วงสุกมาฝานเป็นชิ้นบางๆ แล้วยีให้เละ นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด หน้าจะใสกิ๊ก

2. นำมะม่วงสุกมาล้างน้ำให้สะอาดและปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ผสมกับส้มเขียวหวานและนำไปปั่นละเอียดจนรวมเป็ยเนื้อเดียวกัน จะได้เนื้อครีมข้นและเหนียว ใช้พอกหน้าก่อนเข้านอน (หน้าต้องล่งสะอาดแล้วนะจ๊ะ) โดยพอกทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะรู้สึกผิวหน้าสดชื่นเต่งตึงขึ้น

มะม่วงกับสุขภาพดี

มะม่วงมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากๆ จ้ะ เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง

1. เปลือกต้น และเนื้อในเมล็ด ใช้รักษาอาการท้องเสีย แก้บิดและอาเจียนได้

2. การกินมะม่วงสดๆ จะช่วยแก้คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียน กระหายน้ำ

3. นำมะม่วงผลสุกมาฝานเอาเมล็ดออก ล้างเมล็ดแล้วนำไปตากแห้ง ต้มเอาน้ำดื่มหรือบดเป็นผง กินแก้ท้องอืดแน่น ขับพยาธิ ลำไส้อักเสบเรื้อรัง แก้ปวดประจำเดือนได้เริ่ดๆ

ได้เคล็ดลับความสวย แบบนี้ไปแล้ว อย่าลืมเอาไปทดลองใช้กันด้วยนะคะ ได้ผลอย่างไรอย่าลืมกลับมาบอกกันด้วยค่ะ คุณสาวๆ
ความเชื่อที่ไม่จริงเกี่ยวกับผม

มาอีกแล้วเรื่องของความเชื่อหรือความเข้าใจผิดเกี่ยวกับผม แม้กระทั่งช่างผมคนดังก็ยังเข้าผิดกันได้ แต่นี่เป็นความจริงทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์กันมาแล้ว บอกกันให้รู้แจ้งกันวันนี้เลย

1. การตัดผมทำให้ผมแข็งแรงขึ้น หรืองอกใหม่ได้เร็วขึ้น
มารู้กันเลยว่าไม่จริง ผมไม่ใช่สนามหญ้าจะได้งอกหลังตัด ถึงแม้จะไม่รู้แน่ชัดว่าทำไมถึงเชื่อกันแบบนี้ (ความจริงผู้เขียนก็เชื่อเหมือนกัน) แต่คาดว่ามาจากการสังเกตเห็นหนวดเคราของผู้ชายที่ขึ้นได้เร็ว ซึ่งมีลักษณะไม่เหมือนกับขนบนหน้าและผมของคุณ ผลของการตัดผมให้สั้นก็คือ คุณได้ผมสั้นลงเท่านั้น ส่วนการงอกของผมจะงอกได้เกือบครึ่งนิ้วต่อเดือน

2. ผมแตกปลายสามารถซ่อมแซมได้
ข่าวร้ายแต่จริงก็คือ หากมีผมแตกปลายอย่าเสียเวลาซ่อมแซม แต่ให้ตัดผมแตกปลายออกทันที ไม่เช่นนั้นจะแตกมากขึ้นหรือผมเสียมากขึ้น

3. การแปรงผมดีต่อผม
อันนี้มาแปลก เพราะใคร ๆ ก็ว่าแปรงผมเป็นเรื่องดี แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านผมกลับบอกว่าการแปรงผมเป็นเพียงการตกแต่งทรงผมให้ดูดีเท่านั้น ไม่ใช่ทำให้ผมสวยงามมากขึ้นแต่อย่างใด

4. หมวกรัด ๆ จะทำให้ศีรษะล้าน
เดาว่าข่าวลือนี้คงมาจากค่ายทหารเพราะทหารจะต้องใส่หมวกขณะปฎิบัติหน้าที่จนหัวล้านหรือไม่ก็ผมบางลง แต่ความจริงก็คือ การสวมหมวกนาน ๆ ทำให้ผมเสียหรือแตกปลาย

5. ผมอาจกลายเป็นสีเทาหรือสีขาวภายในคืนเดียว
ผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่าความเชื่อนี้มีแต่ในนิยายเท่านั้น เพราะการเปลี่ยนสีผมต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควร ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ภายในคืนเดียว

6. รังแคเกิดจากหนังศีรษะแห้ง
รังแคและหนังศีรษะแห้งไม่มีความเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด แต่การใช้แชมพูและครีมนวดผมที่เหมาะสมจะสามารถดูแลหนังศีรษะที่แห้งให้หยุดลอกออกมาได้ ส่วนรังแคเป็นปัญหาด้านสุขภาพที่ต้องการการรักษาโดยแพทย์ โดยที่เห็นร่วงออกมาเป็นชั้นสีขาวไม่ได้เกิดจากอาการแห้งแต่เป็นอาการมันและมีน้อยคนมากที่จะมีรังแค คงต้องให้คุณหมอตรวจดูว่าคุณเป็นรังแคหรือไม่

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ทำผมเจ้าสาวให้สวยในวันแต่งงาน



คุณมีเจ้าบ่าวมาดแมนแสนหล่อคนนั้นแล้ว ชุดเจ้าสาวของคุณก็สวยเลิศด้วยฝีมือนักออกแบบคนโปรด ทุกอย่างพร้อมหมด
แต่คุณกลับยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับทรงผมตัวเองดี เป็นความจริงที่ว่า ผมสามารถเปลี่ยนบุคลิกจากสาวธรรมดาให้กลายเป็นเจ้าหญิง
หรือไม่ก็จากเจ้าหญิงให้กลายเป็นนางงามตกรอบ-อันนี้ในกรณีที่เกิดการพลาดอย่างรุนแรง คำแนะนำก็คือ อย่าได้เสี่ยงกับวันสำคัญ
วันเดียววันนี้ของคุณ ลองอ่านคำแนะนำต่อไปนี้ เผื่อคุณจะเอาไปใช้เป็นประโยชน์ได้บ้าง

อย่าทำให้ตัวเองกลายเป็นคนอื่น คุณเป็นอย่างไร เขาก็รักคุณมาแล้วในแบบนั้น ไม่จำเป็นต้องแปลงโมจนเลอเลิศ
ชนิดผมสั้นก็ไปต่อมาจนยาวเหยียด หรือผมยาวก็เกล้าสานขึ้นไปจนผมเด่นกว่าตัวคุณสักร้อยเท่า เป็นตัวของตัวเองในแบบที่ดีที่สุด
นั่นคือคำแนะนำจากช่างผมชั้นดี

ถ้าจะเปลี่ยนทรงผมจริง ๆ ให้เล็มหรือตัดก่อนที่จะแต่งงานประมาณ 2 เดือนขึ้นไป เพื่อให้เกิดความเคยชิน ทั้งตัวคุณเอง
และคนใกล้ชิด และยังมีเวลาที่จะเลี้ยงผมใหม่ด้วย ในกรณีที่ตัดแล้วไม่ประสบ

ก่อนแต่งงานประมาณสองเดือน ทำทรีทเม้นต์ให้ผมมีสุขภาพดีที่สุด สำหรับวันสำคัญที่สุดของคุณ

ถ้าต้องทำสีผม ทำเสียก่อนวันงานหนึ่งอาทิตย์สำหรับสาวผมสั้นที่ต้องการตัดผม ก็ควรตัดตั้งแต่ ตอนนี้เลยเพราะเวลา
หนึ่งอาทิตย์ กำลังพอดีกับผมที่ได้รูปลงตัว อย่างที่สาว ๆ ส่วนใหญ่ชอบ

สาวที่มีผมเส้นเล็กบาง ผมขาดน้ำหนัก ควรจะสระผมก่อนวันงานหนึ่งวัน ไม่ควรสระในวันงาน เพราะผมสระใหม่จะยิ่ง
จัดทรงยากยิ่งขึ้น

สาวเส้นผมเล็ก ไม่ควรเลือกทรงปล่อยยาวเลยไหล่ เพราะเส้นผมจะกระจัดกระจายไม่เป็นรูปทรง การทำไฮไลท์ก็จะช่วยให้
เส้นผมดูหนาขึ้น ดูมีหน้าหนักมากขึ้นด้วย

สาวผมมัน เลือกใช้แชมพูสำหรับผมสระบ่อย หรือจะใช้แชมพูเด็กก็ได้ ถ้าไม่เกล้าก็ปล่อยผม ตัดเป็นรูปทรงที่เบาสบาย
ปรึกษาช่างผม เลือกทรงที่จะช่วยยกเส้นผมออกจากหนังศีรษะ เพื่อให้เกิดการไหลเวียนของอากาศมากขึ้น ป้องกันน้ำมันไหลเคลือบ
ถึงปลายผม ซึ่งจะทำให้ผมเกิดการลืบแบน

สาวผมแห้ง ควรจะเล็มปลายผมทุกหกหรือแปดอาทิตย์ เพื่อกันการเกิดผมแตกปลาย เช็ดผมหลังสระอย่างเบามือที่สุด
และไม่หวีหรือแปรง เมื่อผมยังเปียกอยู่ ผมแห้งเกล้าง่ายกว่าผมชนิดอื่น เพราะอยู่ตัวกว่า แต่ต้องระวังการใช้ผลิตภัณฑ์ ที่จะทำให้
เส้นผมดูแห้งยิ่งขึ้น เช่น สเปรย์หรือการทำสีให้ช่างมืออาชีพแนะนำว่าคุณเหมาะกับผลิตภัณฑ์ประเภทไหน

ถ้าคุณอยู่ในภาวะที่สามารถจ่ายได้ อย่าเสียดายเงินจ้างช่างทำผมชั้นดี เพราะไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะเลวร้ายสำหรับเจ้าสาว
เท่ากับหน้าผมที่ดูแย่เหลือเกินและแก้ไขอะไรไม่ทัน
สูตรดีท๊อกซ์ผมด้วยน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ อย่างไรให้ได้ประโยชน์

“น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์สำหรับใช้ทำ ดีท๊อกซ์ผม ล้างพิษจากเส้นผมและหนังศีรษะ”

“ผม” เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่เสริมเสน่ห์ให้กับเจ้าของ ผู้คนจึงนิยม ตัด ดัด ย้อม ทำไฮไลท์ เพื่อให้เส้นผมธรรมดา ๆ สวยงาม การทำสปาให้กับหนังศีรษะโดยเฉพาะการทำดีท๊อกซ์ ที่ตอนนี้นิยมกันมากในต่างประเทศ

การทำสปาผมเริ่มได้รับความนิยมในช่วงหลัง ซึ่งเป็นการบำรุงรักษาเส้นผมด้วยทรีทเม้นท์ที่ล้ำลึก เริ่มตั้งแต่การหมักผมอบด้วยน้ำมันบริสุทธิ์สูตรสกัดเย้นของภูมิดิน ตามด้วยการนวดศีรษะเป็นพิเศษ เพื่อผ่อนคลายและกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต เรียกว่าการทำดีท๊อกซ์ (Detox) ซึ่งเป็นการล้างพิษให้กับเส้นผม และผ่อนคลายหนังศีรษะ และสระผม นวดด้วยทรีทเม้นท์


ขั้นตอนการทำดีท๊อกซ์ผม
ทำความสะอาดหนังศีรษะและเส้นผมให้ผ่อนคลาย ลักษณะของน้ำอุ่นที่ฉีดออกมาจากสายยางก็จะเป็นสเต็ปการนวดที่เป็นจังหวะ แหวกผมให้หนังศีรษะได้รับอากาศแล้ว ฉีดน้ำให้ทั่วศีรษะประมาณ 3 นาที
หลังจากนั้นให้นวดศีรษะด้วยน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์สกัดเย็นของภูมิดิน นวดวนเป็นวงกลมอีกประมาณ 7 นาที แล้วอบด้วยไอน้ำประมาณ 20 นาที และสระผมด้วยแชมพูสูตรอ่อนโยน ตามด้วยคอนดิชันเนอร์ ก็ได้หนังศีรษะที่สะอาด และเส้นผมที่นุ่มสลวย หลังจากนั้นก็แค่ไดร์และเซ็ทให้สวย
ประสบการณ์หลังการสปาและดีท๊อกซ์ ซึ่งฝรั่งเค้าก็ทำกันมานานแล้ว แต่บ้านเราไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเรื่องเส้นผมเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะใส่ใจกับผิวหน้ามากกว่า บางคนหน้าสวยแต่ผมไม่สวย ก็ทำให้เสียบุคลิก คนผมหยักโดยธรรมชาติ ทำให้มีปัญหาผมฟูไม่มีน้ำหนัก และเมื่อต้องออกงานสังคมบ่อยๆ ก็ต้องใช้ทั้งเจล มูส เพื่อปรับแต่งทรงผม ทำให้ผมถูกทำร้าย
“การทำดีท๊อกซ์ผม ช่วยชำระล้างสารพิษจากเส้นผมและหนังศีรษะ อย่างตอนทำเสร็จจะเห็นได้เลยว่าน้ำที่ใช้ล้างผมเราเนี่ยขุ่น รู้เลยว่าสิ่งสกปรกและสารเคมีตกค้างออกมาเยอะมาก ทำให้ช่วยลดกลิ่นอับที่เส้นผม และยังมีระบบนวดวนที่ใช้แรงดันและความอุ่นของน้ำ และโดยเฉพาะคุณสมบัติของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ซึ่งมีคุณสมบัติซึ่งช่วยกระตุ้นเมตาบอลิซึ่มและซึมซาบบำรุงลึกถึงเซลเส้นผม ผมเราก็จะแข็งแรงขึ้น ทำเสร็จรู้สึกสบายและผ่อนคลายมากเลยค่ะ”
การทำดีท๊อกซ์ด้วยสูตรน้ำมันมะพร้าวบริสุทธ์สูตรสกัดเย็น ไม่มีสารเคมีเจือปนทุกชนิดของภูมิดิน สามารถทำได้ทุกสภาพหนังศีรษะ ไม่ว่าจะเป็นผมแห้ง ผมธรรมดา หรือผมมัน และไม่มียกเว้นสำหรับผู้ที่ทำสีผม
การทำสปาผม

สูตรดีท็อกซ์ผม

สูตรที่ 1 ใช้โยเกิร์ตผสมกะน้ำมันมะกอกหมักผมทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมงก่อนสระหรือถ้าว่าง ๆ ก็หมักไว้นานกว่านั้นผมสวยปิ้งจริงๆ

สูตรที่ 2 หัวกะทิคั้นสด ๆ ( ซื้อที่ตลาด ) ผสมกับนำมะกรูด หมักไว้ รับรองผมจะเงาดำ มัน นุ่มแบบไม่ต้องเสียตัง ธรรมชาติมักมัก

สูตรที่ 3 มายองเนสค่ะ นุ่มดี นำมันมะพร้าวก็ใช้ได้นะคะ

สูตรที่ 4 โยเกิร์ต + น้ำมันมะกอก + ไข่แดง + น้ำผึ้ง

สูตรที่ 5 น้ำมันงา หรือเบบี้ออย หรือ น้ำมันมะกอก

สูตรที่ 6 สูตรหมักผมด้วยเบียร์

ของที่ต้องใช้

1.เบียร์ยี่ห้อไหนก็ได้ เอาตามความยาวและความหนาของผม ปกติใช้ไม่เกิน 1/3 ของกระป๋อง

2.ไข่ 1 ฟอง เอาเฉพาะไข่แดง

วิธีทำ

เอามาใส่ถ้วยแล้วคนให้เข้ากันคะ ทาลงบนผมที่แห้งให้ทั่วผม ไม่ต้องทาหนังศรีษะ จากนั้นเอาผ้วหนา ๆ มาโพกหัว เพราะเบียร์มันเหม็น เดี๋ยวเมาเบียร์ก่อน แล้วไปทำอย่างอื่นรอไปเรื่อย ๆ จนมันแห้ง พอแห้งหรือหมาด ๆ ก็สระผมตามปกติ แต่ให้สระหลาย ๆ รอบจนกว่ากลิ่นเบียร์จะหมด

ข้อดี:

-เบียร์ทำจากพวกธัญพืช สารอาหารพวกนี้จะซึมเข้าสู่ผม ทำให้ผมนิ่มมาก และเป็นเงางามแวบ ๆ สะท้อนแสงเลย

- ไข่แดงทำให้ผมมีน้ำหนักและกระเด็งดึ๋ง ๆ ๆ

ที่มา : หนังสือสปานวดเพื่อสุขภาพ พิมพ์ครั้งที่ 2
ย้อนรอย 105 ปี เส้นผมโลก





105 ปี เส้นผมโลก
จากยุควิคตอเรีย ปี 1900 สู่ ปี 2005
คงเป็นความพยายามของมนุษย์ในโลกนี้ที่จะแสดงการ “หลุดพ้น” และ “เอาเยี่ยงอย่าง” ไปพร้อมๆกัน ไม่ว่าจะเป็นยุคใด สมัยใดก็ตาม
แฟชั่น...จึงเป็นเสมือนตัวแทนของการเปลี่ยนแปลง และการเอาอย่างดังที่ได้กล่าวเอาไว้ตอนแรก
ทำให้ “นายเสื้อผ้า หน้าผม” จึงเข้ามารับหน้าที่แถลงไข และบอกเล่าถึงเรื่องราวของแฟชั่นที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์รวมเวลากว่า 100 ปีที่ผ่านมา ให้ท่านได้รับทราบ และลองนำไปศึกษา
โดยเฉพาะเรื่องของเส้นผมนั้น ถูกผู้ใหญ่ “ขอมา” ว่าจะขาดเสียมิได้ เพราะนี่คือ นิตยสารแฟชั่นผมของคนเสริมสวย
ฉะนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการสิ้นเปลืองเวลาเรามาว่ากันด้วยเรื่อง 105 ปีของเส้นผมโลกบนด้ายขึงของประวัติศาสตร์ที่ได้รับการบันทึกมา และถูกนำมาป้ายด้วยหมึกพิมพ์ให้ท่านอ่านกันพอให้สบายใจไม่เคร่งเครียด
อันว่าเรื่องของผม...และแฟชั่นผมนั้นมีมาในโลกมนุษย์ยาวนานมาก ตั้งแต่ยุคของกรีก หรือยุคก่อนศาสนาคริสจะอุบัติขึ้นเสียอีก อย่างยุคของอียิปต์ เรื่องราวของแฟชั่นผมก็ถูกนำมาเสนอในรูปแบบของภาพยนต์และภาพประวัติศาสตร์โบราณ
แต่เพื่อไม่ให้ผู้อ่านต้องเสียเวลาหรือพยายามย้อนยุคมากไป เราจะขอกล่าวถึงแฟชั่นผมในยุคศตวรรษที่สิบเก้าเป็นต้นไป โดยเว้นที่จะกล่าวถึงแฟชั่นผมในยุคศตวรรษที่สิบเจ็ด และศตวรรษที่สิบแปด ซึ่งถือว่าเป็นยุคที่แฟชั่นผมเฟื่องฟูมากในหมู่ขุนนาง ราชวงศ์ ผู้มีศักดินา โดยเฉพาะยุคศตวรรษที่สิบแปดนั้นถือว่าเป็นยุคของการใช้ “วิกผม” มากที่สุดยุคหนึ่ง ซึ่งใช้วิกผมทั้งผู้ชายและผู้หญิง
หมดจากยุคศตวรรษที่สิบแปดหรือเรียกกันว่า “สไตล์โรโกโก” ซึ่งผู้หญิงยุคนั้นยังคงยึดถือแฟชั่นผมแบบเดียวกับยุค “เรเนอร์ซองต์” อันถือเป็นยุคเปลี่ยนประวัติศาสตร์แฟชั่นผมเสื้อผ้าอย่างสิ้นเชิงจากยุคอดีต


และยุคเรเนอร์ซองต์นี้เองถือเป็นยุคที่กำเนิด “ปัจเจกชน” หรือคนที่กล้าเปลี่ยนแปลงตัวเองจากชนหมู่มากออกไป และสามารถทำให้คนอื่น “เอาเยี่ยงอย่าง” ทำตามได้แม้จะอยู่ภายใต้กฏระเบียบ แบบแผน ของขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ซึ่งเป็นยุคของศาสนจักรครองโลก
กลับเข้าสู่แฟชั่นผมยุค “วิคตอเรีย” อันเป็นยุคที่เริ่มต้นตั้งแต่ ปีค.ศ.1900 เป็นต้นไป ก่อนหน้านี้ผู้หญิงมักจะไว้ผมยาว แล้วรวบเกล้าขึ้นบนกลางศีรษะ ปล่อยปลายผมลงมาเล็กน้อยให้ปลายผมหยิกฟูเป็นลอน เน้นให้เห็นต้นคอยาวระหง
ในปี ค.ศ.1904 นี้เองมีการดัดผมเป็นลอนแบบถาวรเกิดขึ้นครั้งแรกที่ประเทศอังกฤษด้วย
ผู้หญิงในยุคโรโกโกนั้นจะเริ่มรักษารูปทรงเน้นความเพรียวสวย มากกว่าการแสดงให้เห็นความสมบูรณ์เจ้าเนื้อเช่นอดีต
ซึ่งพอเข้าสู่ยุควิคตอเรียสังคมและแฟชั่นจะแสดงออกถึงความฟุ้งเฟ้อ จอมปลอม เสรแสร้ง และการกดขี่
ข้าราชการ ขุนนาง ผู้มีศักดินา ใช้ชีวิตในแบบแสนสบาย ฟุ้งเฟ้อ ตื่นสาย ผู้หญิงใช้เวลาแต่งตัวครึ่งค่อนวัน ตนเย็นเล่นไพ่ เต้นรำ ดื่มกิน ทำให้ยุคสมัยนี้เกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง จนราชินีวิคตอเรียที่เป้นผู้นำแห่งความฟุ้งเฟ้อต้องหมดอำนาจลงไปอย่างสิ้นเชิง
รวมถึงแฟชั่นอันวิจิตรพิศดารในสมัยของพระนางด้วย ที่จบชีวิตลงไปในปี 1901 หลังจากยุคนี้เป็นช่วงหนึ่งของการปฏิวัติสังคม ผู้ชายต้องสวมหมวกแดง แสดงถึงอิสรภาพ (Bonnet Rouge) หลายคนเริ่มหันมาแต่งตัวแบบ “สุดขั้ว”
ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย แต่งผมให้เป็นกระเซิง จนดูไม่มีระเบียบเพราะไม่อยากขัดแย้งกับกลุ่มอำนาจปฏิวัติในยุคนั้นที่ชิงชังการแต่งตัวหรูหรา
กระทั่งเกิดสไตล์การแต่งตัวที่เรียกว่า “สไตล์ดิแนกตัวร์ และสไตล์อังปีร์” ซึ่งยุคนี้เป็นยุคของผู้หญิงอย่างแท้จริง เนื่องการแต่งกายจะสลับซับซ้อนกว่าของผู้ชายเป็นอย่างมาก รวมถึงทรงผมด้วย
ผมของผู้หญิงในยุคมักจะใช้ทรงผมในยุคกรีกเป็นแม่แบบ นั่นคือ หวีผมจากด้านหน้ารวบไปด้านหลัง ทำเป็นห่วงหรือหลอดไว้ด้านหลัง และทำให้ด้านหน้าโดยรอบม้วนเป็นลอนเป็นคลื่นเล็กๆ ลักษณะผมแบบนี้ลองนึกภาพรูปปั้นผู้ชายโรมันดูท่านอาจพอนึกออก
แบบผมยุคนี้จะเน้นสไตล์หยิกทั้งสั้นและยาว ซึ่งจะเรียกว่า A La Victime
ส่วนผู้ชายมักจะไว้ผมสั้นใบหน้าโกนเกลี้ยงเกลา แต่จะดูโดดเด่นด้วยจอนยาวหยิก
สไตล์อังปีร์และสไตล์ดิแรกตัวร์นี้ได้รับความนิยมอยู่ในช่วงปี 1900 จนถึงปี 1910 ก่อนที่ยุคของสไตล์โรแมนติกจะเข้ามา
หากจะกล่าวโดยรวมแล้ว สไตล์โรแมนติกนั้นถือว่าเป็นการตอบโต้สไตล์คลาสสิกยุคก่อนนี้ พวกโรแมนติกจะให้ความสำคัญของเนื้อหามากกว่ารูปทรง
วิถีชีวิตของพวกโรแมนติกจึงเน้นที่ เครา ผมยาว ใช้เครื่องนุ่งห่มประหลาด การแสดงออกที่รุนแรง แต่ในด้านทรงผมแล้วสไตล์โรแมนติก ผมจะเน้นการแสกกลางศีรษะ รวบผมแล้วมัดผมม้วนแน่นเป็นเปียพาดรอบหน้าผากและกกหู ส่วนด้านหลังม้วนผมรวบจับเป็นกลุ่ม เป็นมวย ไม่ก็ทำเป็นลอนยาวในช่วงเวลากลางคืน
ถัดมาอีก 4-5 ปีสไตล์โรแมนติกมีการเปลี่ยนแปลงบ่างเล็กน้อยด้วยการนำเอาผมปลอมมาจัดเป็นห่วงหรือเปียเสริมแทนผมจริง
นอกจากนี้ช่วงท้ายๆของสไตล์โรแมนติกยังมีการนำเอาวัฒนธรรมของจีนมาใช้ เรียกว่า A La Chinoise หมายถึงสไตล์แบบจีน โดยการดึงผมจากด้านหลังและด้านข้างมารวบเป็นปมกลางศีรษะ ในบริเวณหน้าผากและกกหูจัดผมให้เป็นวงๆ
ช่วงนี้เองยังมีการเครื่องประดับ เครื่องประกอบผมมาใช้มากขึ้นแทนหมวก เช่น หวีที่ทำจากกระดองตะพาบน้ำ ริบบิ้น ดอกไม้ ขนนก
เข้าสู่ปี ค.ศ.1938 ผมยังคงแสกกลางดึงเรียบเข้าหากกหู จัดรูปทรงเป็นทรงโค้งปิดหู และที่นิยมมาก คือ การทำเปียห้อย หรือขึ้นผมให้เป็นห่วงเป็นม้วนด้านข้างหูทางด้านหลังรวบเป็นมวย


ส่วนผู้ชายนิยมผมสั้น แต่ไว้จอนจนยางต่อกับเคราที่เน้นให้เครามีพู่เล็กๆ หรือมีปลายแหลมทั้งสองข้างไปจนถึงช่วงริมปลายปาก เรียกว่า Whiskers
สไตล์กรีโนลีนเป็นแฟชั่นในยุคปี 1890-1900 ทรงผมยังนิยมเหมือนสไตล์โรแมนติก แต่ว่า สไตล์กรีโนลีนนั้นจะเน้นการรวบเกล้าแล้วม้วนดัด ม้วนลอน และม้วนมวยผมไปด้านหลังและด้านข้าง โดยมีการนำเอาหมอนสอดไปด้านข้างของผม เพื่อช่วยให้ดูบานกว้างออก
นอกจากนี้ยังใช้ผมปลอมเสริมมากขึ้น และนิยมใช้ตาข่ายในการครอบผมไว้ไม่ให้ผมเสียทรงง่าย
ส่วนผู้ชายนั้นยังคงไว้ผมสั้น แต่นิยมไว้เครามากขึ้นจนการโกนหนวดให้ใบหน้าเกลี้ยงเกลาสะอาดไม่ได้รับความนิยมอีกต่อไป
ในช่วงนี้เองยังมีสไตล์บัลซึมได้รับความนิยมในกลุ่มแฟชั่นยุโรปอีกด้วย ผมโดยปกติจะนิยมไว้แสกกลาง ทำเป็นลอนหยิกรอบใบหน้า แล้วดึงกลับไปทางด้านหลัง มีผมม้า (Bangs) และชายหยิกเป็นลอนปิดหน้าผาก ส่วนด้านต้นคอนั้นนิยมไว้ปอยหยิกเล็กๆเช่น ทำเป็นรอยเว้าไว้บริเวณต้นคอ
ขณะเดียวกันจะเน้นการทำผมให้หยิกเป็นลอนคล้ายขั้นบันไดไล่ไปจนถึงหลังศีรษะ และนิยมสวมหมวกประดับบนศีรษะโดยให้หมวกเอียงเล็กน้อย
ถัดจากยุคโรแมนติกมาแล้วก็ถือเป้นยุคของสไตล์เก้าศูนย์ ซึ่งทรงผมในยุคนี้ผู้หญิงส่วนมากจะไว้ผมเป็นพู่หยิกทางด้านหน้า ม้วนแล้วจัดผมให้เป็นหลอด เป็นลอนไว้ด้านบน หรือเน้นการทำลอนลึกรอบใบหน้า แล้วหวีผมให้โป่งพอง เปิดส่วนหูไม่ให้มีผมปิด
ว่ากันว่ายุคนี้เองที่ส่งอิทธิพลทรงผมให้ใช้การหวีและไดร์ผมให้โป่งพองมากขึ้น มากกว่าการเพิ่มปริมาณผมด้วยการม้วนลอนธรรมดา หรือไว้เปีย
ส่วนผมผู้ชายนั้นยังคงตัดผมสั้น เน้นแสกข้าง นิยมไว้หนวดเคราด้านข้างเป็นกระจุก โดยหันมาโกนใบหน้าให้เกลี้ยงเกลาขึ้นแล้วไว้หนวด
ทั้งหมดนี้เป็นแฟชั่นผมที่นิยมทำกันมากในช่วงศตวรรษที่สิบเก้า กระทั่งก้าวเข้าสู๋ศตวรรษที่ยี่สิบการเปลี่ยนแปลงทางแฟชั่นก็ถึงยุคสมัยใหม่ๆมากมาย เนื่องจากช่วงนี้เกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และสงครามโลกครั้งที่สอง จนเกิดสไตล์ใหม่ขึ้นที่เรียกว่า “สไตล์นิวลุค”
นอกจากนี้ยังเข้าสู่สไตล์สงครามเย็น ซึ่งทำให้แฟชั่นผันผวนเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงไปสู๋ยุคที่เรียกว่า สไตล์มอดส์ และสไตล์ฮิปปี้
ในช่วงศตวรรษที่ยี่สิบนี้แฟชั่นตื่นตัวมากเนื่องจากมีสื่อเกิดขึ้นนั่นคือ สื่อภาพยนต์ และดาราภาพยนต์หลายคนกลายเป้นตัวแทนของสังคม มีคนนิยมเอาอย่าง
ช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งสไตล์เอดเวอร์เดียนได้รับความนิยมสูง ผู้หญิงมักไว้ผมโดยจัดให้โป่งและลุ่ยรอบๆใบหน้า ด้านหลังเกล้าเป็นมวยหรือเป็นก้อนตกอยู่ทางด้านลำคอ พร้อมกับการดัดผมถาวรก็ได้รับความนิยมสูงขึ้น ผู้หญิงส่วนใหญ่ในสังคมชั้นสุงนิยมดัดผม
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนั้น ทรงผมกลับเปลี่ยนไปเพราะปัญหาทางเศรษฐกิจ และความยากลำบากแร้นแค้นในภาวะสงคราม ผู้หญิงจะทำผมให้พองน้อยลง แต่นิยมหันมาทำผมเป็นลอนเบาๆรอบๆใบหน้าแทน โดยดึงผมรวบไปด้านหลังเป็นมวย
แต่ผมดัดยังคงได้รับความนิยมอยู่ ทว่าจะเริ่มมีการหันมาไว้ผมสั้นมากขึ้น
สำหรับผู้ชายช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ผมสั้นยังคได้รับความนิยมต่อไปแต่การไว้เคราหมดบทบาทลงไปมากเนื่องจากพิษสงครามโลก และภัยจากแก๊สพิษ หากไว้เคราจะใส่หน้ากากกันแก๊สพิษได้ลำบาก
หลังหมดยุคสงครามโลกครั้งที่หนึ่งหมาดๆ ถือได้ว่าเป็นโลกของภาพยนต์อย่างแท้จริง กระแสภาพยนต์มาแรงรวมถึงเป็นสื่อให้แฟชั่นต่างๆมีการเปลี่ยนแปลงไป ปี 1920 รูดอล์ฟ วาเลนติโน ดาราชายเจ้าบทบาททำให้ผู้ชายทั่วโลกหันมาใช้น้ำมันใส่ผมหวีผมเรียบแปล้เป็นมันเงา
ขณะที่ผู้หญิงเอาอย่างดาราสาวชื่อดัง โจน ครอว์ฟอร์ด ที่ไว้ผมสั้นน่ารัก
แถมด้วยการฟอกผมสีเป็นสีบลอนด์เพื่อเลียนแบบดาราสาว จีน ฮาร์โลว์
ส่วนเด็กผู้หญิงพ่อแม่จับให้ลูกทำผมเลียนแบบดาราเด็กผู้น่ารักอย่าง เชอร์ลี แทมเปิล
หากเป็นกลุ่มวัยรุ่นผู้หญิงสาววัยรุ่นจะไว้ผมทรง เพจบอย ซึ่งเป็นผมทรงมหาดเล็กเหมือน จูน อัลลิสัน โดยการทำเป็นลอนลงมาปิดตาข้างหนึ่งไว้ หรือไม่ก็ไว้ผมทรง พิกคะบู แบบ เวโรนิกา เลค
ขณะที่เด็กชายวัยรุ่นจะไว้ผมสั้นเรียบง่ายเกลี้ยงเกลาหรือรองทรงแบบเด็กผู้ชายอเมริกัน หวีเป๋แสกข้างเหมือนดาราดังชื่อ แวน จอห์นสัน
ผมสั้นกลายเป็นที่ยอมรับไปทั่ว สาวในวิทยาลัยต่างๆทั่วสหรัฐไว้ผมสั้นแล้วแบบที่เรียกว่า “ผมบ๊อบ” (Bobbed) จนมีการร้องเพลงล้อเลียนเพลงจิงเกิลเบลล์ เป็นชื่อเพลง ชิงเกิลบ๊อบ (Shingle Bob) ซึ่งหมายถึงการไว้ผมสั้น โดยตัดสั้นเป้นพิเศษทางด้านหลังแล้วทำให้ลาดเอียงไปติดท้ายทอยเหมือนผู้ชาย
ผู้หญิงบางคนไว้ผมสั้น แต่ยังคงไว้ผมด้านหน้าผากยาวปิดลงมาจนถึงคิ้ว เรียกว่า “ผมม้า” แล้วให้ปลายผมพลิ้วกลับไปด้านใน
มีผู้หญิงจำนวนมากในช่วงอายุยี่สิบปีตัดผมสั้นมากเป็นพิเศษ จนดูเหมือนกับการไว้ผมแบบผู้ชาย
ผู้หญิงบางคนนิยมผมบ๊อบแบบเหยียดตรง และไว้ผมบ๊อบแบบดัดหยิกเป็นลอนลึกทั่วศีรษะ โดยมีเข็มกลัดหนีบที่เรียดว่า เข็มกลัดบ๊อบบี้เข้ามาเสริม
ความนิยมในการใช้เข็มกลัดหนีบผมเริ่มมากขึ้น จนมีการพัฒนากิ๊ปหนีบผมมาใช้มากมายหลายรูปแบบ
กระทั่งย่างเข้าปลายศตวรรษที่ยี่สิบผู้หญิงจึงเริ่มหันกลับมาไว้ผมยาว และเริ่มไว้ลอนหยิกเล็กๆที่ด้านหลัง
ช่วงปี 1930-1940 นั้นทรงผมนิยมไว้ค่อนข้างสั้นในตอนต้นๆ เน้นมีคลื่นลอน เป็นลอนหยิกสั้นอยู่ตรงกกหูและลำคอ แต่พอล่วงเข้าใกล้ปี 1940 ผมบ๊อบมหาดเล็ก (ผมเหยียดตรง แล้วงอนตอนปลาย) ก็กลับมานิยมมากขึ้น ในคนที่ไว้ผมสั้นหน่อย
แต่สำหรับผู้หญิงที่ชอบไว้ผมยาวจะนิยมผมทรง “ปงปาดูร์” ที่เน้นการยกผมให้สูงในด้านหน้าและด้านข้าง ส่วนผมด้านหลังใช้การยกผมม้วนขึ้นมาเป็นรูปตัวยู โดยมีการใช้ตาข่ายมาครอบป้องกันการเสียทรงด้วย
อีกสไตล์หนึ่งที่ได้รับความนิยมไม่น้อย คือ สไตล์ขนปุย หรือ เฟเธอร์ คัท ซึ่งเป็นผมสั้นแต่หยิก
ในยุคนี้เองที่ผู้หญิงในกลุ่มสังคมชั้นสูงหันมาถอนขนคิ้วเพื่อให้เห็นเป็นเส้นเรียว หรือไม่ก็ถอนขนคิ้วออกหมดแล้วใช้ดินสอเขียนคิ้วให้โค้งเรียวแทน
แป้งผัดหน้าดูเหมือนจะขาดมาได้ เพราะผู้หญิงที่ดูนำสมัยนั้นจะต้องทำใบหน้าให้ดูคล้ายสวมหน้ากาก ลิปสติกที่ผลิตขึ้นมาครั้งแรกในปี 1915 ได้รับความนิยมจนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นเดียวกับแป้งผัดหน้า
ส่วนผู้ชายหันมาให้ความสนใจการแต่งผมด้วยน้ำมันแต่งผม ส่วนหนวดนั้นเน้นการไว้หนวดแบบเรียวเล็กเท่าเส้นดินสอ ผมเรียบเป้นมันเงา
พอเข้าสู่ช่วงท้ายๆปี 1940 ผู้ชายนิยมการดัดผมให้เป็นลอนตามอย่างผู้หญิง แต่การไว้หนวดลดลงเนื่องจากอิทธิพลของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ที่ไว้หนวด จึงไม่มีใครอยากไว้หนวดเหมือนฮิตเลอร์
ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่เรียกว่า “ยุคนิวลุค” และ “ยุคสงครามเย็น” ตั้งแต่ปี 1940-1950 แฟชั่นใหม่มาแรงในกลุ่มวัยรุ่นมาก นั่นคือ แฟชั่น “เท็ดดี้บอย”
เท็ดดี้บอยเป็นการผสมผสานกันของรูปแบบเสื้อผ้าหลากหลาย มีการใส่สูท แจ๊กเก็ตหลวม มีเสื้อกั๊กทับเสื้อเชิ๊ต แล้วผูกเนกไทแคบๆ ใส่รองเท้าหัวแหลม ขากางเกงแคบสั้น เพื่อโชว์ให้เห็นถุงเท้าหลากสีสัน
ทรงผมเน้นสั้นหวีเป๋ ท้ายทอยสั้นสะอาดใบหน้าเกลี้ยงเกลา ไว้จอนหูแต่พองาม
จากยุคนี้ไปนี่เองที่ถือว่าเป็นยุคนิวลุค เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง การเปลี่ยนแปลงทางแฟชั่นค่อนข้างรุนแรง
ปี 1947-1964 ช่วงต้นๆทรงผมเน้นที่ผมสั้น กระทั่งเข้าสู่ปี 1950 ผมยาวจึงเริ่มกลับมา นิยมอีกครั้ง
จุดเปลี่ยนในเทคนิคการทำผมเริ่มต้นขึ้นในช่วงปี 1960 นี้เอง การ “ยีผม” (Bockcombing) หรือการหวีผมกลับหลัง เป็นการยีผมให้โป่งก่อนเซ็ตผมให้เข้าทรงแบบแนวบ๊อบ หรือแนวผมผมยาวเกล้าราตรีได้รับความนิยมอย่างสูง ช่างผมส่วนใหญ่เริ่มใช้เทคนิคการยีผมให้กับลูกค้าเพราะช่วยให้การทำงานของช่างง่ายขึ้น
ปี 1960 เป็นยุคใหม่ของกลุ่มวัยรุ่นอย่างแท้จริง กลุ่มวัยรุ่นพวกนี้ถูกเรียกว่า มอดส์ (Mods) หรือ ร็อกเกอร์ (Rockers) คนกลุ่มนี้เน้นวิถีชีวิตแบบการแสดงออกเฉพาะตน แสวงหาความรัก เมายา และบทกวี
แฟชั่นของพวกเขาคือ การไว้ผมยาว เก๋ แว่นตาทรงคุณย่าขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันก็มีกลุ่ม ฮิปปี้ เกิดขึ้นมาโดยไว้ผมยาวถึงไหล่ในหมู่ผู้ชาย ผู้หญิงไว้ผมยาวจนถึงก้น แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหลากสี มีผ้าคาดศีรษะ จนถูกเรียกว่า “ฮิปปี้-ยิปซี”
สำหรับแฟชั่นกลุ่มนี้เกิดขึ้นครั้งในงานมหกรรมดนตรีวู๊ดสต๊อก ซึ่งถือเป็นงานที่รวมศิลปะและการแสดงความคิดของคนรุ่นใหม่ และเป้นการฟังเพลงแห่งการปฏิวัติด้วย
เมื่อหมดจากยุคมอดส์และฮิปปี้แล้วก็เข้าสู่ยุค ยีนส์ครองเมือง...!!
ยีนส์...ถูกนำมาใช้แพร่หลายไม่เพียงแต่ในกลุ่มเกษตรกรเช่นอดีต แต่ยีนส์ถูกนำมาใช้กับกลุ่มวัยรุ่นนักศึกษาที่นิยมการประท้วง ต่อต้านต่างๆ จนกลายเป็นเครื่องแบบของนักต่อต้านไป ในที่สุดกระแสนิยมยีนส์ก็เกิดขึ้น
ผู้หญิงนิยมรวบผมเกล้าขึ้นมัดไว้ด้านหลังแบบง่ายๆ เบาๆ ไม่รวบตึง ส่วนผู้ชายนิยมไว้ผมยาวแบบมีรากไทร จนถึงยาวถึงไหล่
ยุคนี้เองที่ผมทรง “แอฟโฟร” (Afro) ได้รับความนิยมในหมู่ผู้หญิงและผู้ชาย โดยได้รับอิทธิพลจากชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกาที่มีผมหยิกตามธรรมชาติ การไว้ผมหยิกยาวมีมาจนถึงปัจจุบัน ขณะเดียวกันผมสไตล์แอฟโฟรมีการตัดสั้นลงให้แนบศีรษะ หรือไม่ก็ถักให้เป็นกระจุกแนบศีรษะแบบถักแถวเมล็ดข้าวโพด (Corn-row Braids) ซึ่งผู้นำที่ทำให้คนอื่นเอาอย่างก็คือ โบ ดีเรก ดาราสาวสุดเซ็กซี่ จากภาพยนต์เรื่อง เทน (10) นั่นเอง
จากปี 1960 เป็นต้นมา ช่างตัดผมกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ของประชาชนที่รักแฟชั่น เพราะอิทธิพลของ “เดอะ บีทเทิลส์”
เมื่อถึงกลางศตวรรษที่ยี่สิบ ผมเริ่มกลับมาสั้นลงอีกครั้ง แต่มีลักษณะที่นิ่มและเป็นทรงธรรมชาติมากขึ้น ผมได้กลายมาเป็นแฟชั่นอย่างเต็มตัวผิดจากอดีตที่ผมเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการปรับให้เหมาะสมกับเสื้อผ้า
ปี 1970 ผู้หญิงหลายกลุ่มหันมาไว้ผมสั้นแนบศีรษะแบบหยิกม้วนเป็นกระจุก ที่เรียกว่า “สไตล์ฟริซซี่” (Frizzy) โดยเอาอย่างดาราเจ้าบทบาท บาบาร่า สตรายแซนด์ ในภาพยนต์เรื่อง อะ สตาร์ อิส เบิร์น
พอเข้าสู่ปี 1976 ผมสั้น “แบบลิ่ม” ได้รับความนิยมสุงมากเพราะความนิยมในตัวนักกีฬาหญิงที่ชอบไว้ผมสั้นลงแข่งขันเพื่อความคล่องตัว และกลายมาเป็นทรงผมบุคคลทำงานสไตล์หญิงมั่นถึงปัจจุบันนี้
อีกทรงที่กลายเป็นทรงอมตะมานานหลายสิบปี คือทรงฟาร์ร่า ซึ่งจริงๆแล้วเรียกว่า ทรงเมอเน ที่ทำผมเซ็ตเป็นทรงโป่ง มีเส้นเป็นลายสี แต่พอดาราสาวอย่างฟาร์ร่า ฟอว์เซ็ต นำมาใช้ในภาพยนต์เรื่อง นางฟ้าชาลี คนเลยนิยมเรียกว่า ทรงฟาร์ร่าตั้งแต่นั้นมา
ในช่วงสุดท้ายที่จะกล่าวต่อไปนี้ก็คือ การเข้าสู่ยุคผมพั๊งก์ซึ่งได้รับความนิยมในกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งมาแล้ว แต่ได้มีการนำเอาสไตล์พั๊งก์มาใช้ในแฟชั่นผมปัจจุบันนี้ นั่นคือการทำสีผม
และเข้าสู่ยุคการไว้ผมยาวเหยียดตรง เน้นธรรมชาติไม่ทำสี หรือทำสีแต่เพียงบางๆเป็นไฮไลท์ และปัจจุบันเป็นยุคที่มีทรงผมหลากหลายมากที่สุด คือมีทั้งผมสั้น ผมยาวเหยียดตรง ผมยาวหยิกปลาย การทำสีผม การดัด
สุดท้ายมีการคาดเดาไว้ว่า ผมแสกข้างจะกลับมาในแฟชั่นทรงผมของผู้หญิงยุคใหม่....!!
กว่า 100 ปีที่ผ่านมา ทรงผมได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมากมาย และก้าวเข้าสู่ยุคย้อนกลับ หรือการย้อนยุคมากขึ้น การก้าวตามแฟชั่นดูเหมือนจะเป็นอีกวัฒนธรรมหนึ่งที่ขาดไม่ได้
ดังนั้นช่างเสริมสวย หรือผู้บริโภคทั่วไปจึงควรจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับแบบผม รวมถึงแฟชั่นผมมากขึ้น เพื่อสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับตนเองอย่างเหมาะสม ตามรูปแบบของเสื้อผ้าการแต่งกาย
สุดท้ายนี้เชื่อแน่ว่าแฟชั่นแบบผมจะเน้นไปที่ความสะดวกสบายมากขึ้น เพราะเวลาที่รัดตัวจะเร่งเร้าให้แฟชั่นปรับตัวเองมาให้สะดวก รวดเร็ว แทนการเสียเวลาในร้านมากเกินไป
ผมที่ออกแบบจึงเน้นการดูแลรักษา มากกว่า การเป็นแฟชั่นชั่วครั้ง ชั่วคราว สไตล์ตีโป่ง การยีผมเริ่มหมดความนิยมลงไป และการตัดผมด้วยกรรไกรยังคงได้รับความนิยมไปอีกไม่น้อยกว่าหนึ่งศตวรรษ ขณะที่ปัตตาเลี่ยนอาจจะกลายเป็นหนึ่งในของเก่าในพิพิธภัณฑ์
ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมจะมีความสำคัญมากขึ้น ผมยาวจะกลับมาอีกครั้ง ขณะที่ผมสั้นจะเน้นที่สั้นมากติดหนังศีรษะ
จากยุควิคตอเรีย สู่ยุค 2005 เชื่อว่า ไม่เกิน 10 ปี ผมทรงกรีกจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง....!!
วิธีการเลือก สีย้อมผม


วิธีการเลือก สีย้อมผม
ช่างผม ช่างเสริมสวย ต้องมีความรู้เรื่องของ สีผม ว่าสีใดเหมาะกับวัย หรือสีใดเหมาะกับผิวของลูกค้า ซึ่งผิวของคนโดยทั่วไปนั้นจะมีสีเปลี่ยนแปลงไปตามวัย สีผม ตามธรรมชาติของคนเรา ซึ่งเหมาะกับอายุ 20 ปีหรือ 30 ปีนั้น พออายุได้ 40 ปีหรือ 50 ปี อาจจะไม่เหมาะก็ได้ สำหรับผู้รับบริการที่มีอายุอยู่ในสูงวัยควรจะใช้สีที่อ่อนเข้าไว้ก่อน
-ส่วนสตรีที่ยังสาว ที่มีผิวเนื้อขาวนวลนั้น จะย้อมผมให้เป็นสีอะไรก็ได้ทั้งนั้น
-สำหรับผู้ที่มีผิวออกชมพูหรือแดง ผมควรออกเป็นสีขี้เถ้า จะย้อมสีแก่หรืออ่อนก็ได้แล้วแต่วัยหรือผิว
ผู้ที่มีผิวค่อนข้างดำนวล จะเลือกสีได้ตั้งแต่สีบรอนซ์ แล้วค่อยๆ แก่จนเป็นสีน้ำตาบบางทีใช้สีแก่มากๆ ก็ได้
-ผู้ที่มีผิวเหลืองหรือน้ำตาล ไม่ควรใช้ยาย้อมผมที่ค่อนข้างเป็นสีขี้เถ้าเป็นอันขาด ในการพิจารณาเลือกยาย้อมผมนี้ ควรศึกษาเรื่องสีโดยเฉพาะ
ประโยชน์ของการ ย้อมผม
1.ทำให้ ผมหงอก กลายเป็น ผมดำ หรือเป็นสีธรรมชาติอย่างเดิม
2.เปลี่ยนสีตามธรรมชาติ ให้เป็นสีที่ต้องการ
3.รักษาผมให้มีสีธรรมชาติ ให้เป็นสีที่ต้องการ
4.ทำให้เกิดความสวยงามในการตกแต่ง เช่น ทำให้ ผมเป็นสีขาว ทำให้เกิดแนวผมอีกสีหนึ่งที่ต่างออกไปจากเดิม
5.เพื่อเป็นการ แก้ไขผม ซึ่งเสียไปเพราะการย้อมหรือการฟอกให้สีจางลง
หลักการ ย้อมผม ต้องศึกษาดังนี้
1.ในการสังเกต สีผม นั้น ผม จะต้องแห้งและสะอาดถ้าผมสกปรกจะทำให้ได้สีค่อนข้างแก่
2.ใช้ระดับที่แสดงสีต่างๆ ระดับสีตั้งแต่แก่ไปจนถึงอ่อน อ่านดูชื่อและหมายเลขที่กำหนดไว้
3.เปรียบเทียบผมของผู้รับบริการกับระดับของสีที่ใกล้เคียงที่สุด
4.พิจารณาว่า จะเลือกสีระดับใด จึงจะเหมาะกับผม อาจมากกว่าหนึ่งระดับ
5.ในการเปรียบเทียบสีของผมกับสีในระดับสีนั้น ให้เปรียบกับผมตรงที่ใกล้หนังศีรษะ (ด้านหลัง) เพราะบริเวณนี้ผมจะสีเข้มที่สุด
6.เวลาจะพิจารณาสีของผม ให้ใช้มือจับผมดึงขึ้นมา หรือใช้มือแหวกผมดู
7.ช่างเสริมสวย จำเป็นต้องรู้และเข้าใจข้อความชี้แจงของผู้ผลิตน้ำยาย้อมผมของแต่ละรายให้ละเอียด
คำแนะนำในการย้อมผม
1.ควรทำการทดลองย้อมผมล่วงหน้าก่อนการย้อมผม 24 ชั่วโมง
2.ถ้าหนังศีรษะเป็นแผล หรือถลอกไม่ควรย้อมผม
3.แปรง หวี ผ้าคลุม ขวดใส่น้ำยาย้อมและเครื่องใช้อื่นๆ ในการย้อมผมจะต้องสะอาด
4.ก่อนย้อมผม ไม่ควรแปรงผม
5.ก่อนใช้น้ำยาย้อมผม ควรอ่านคำชี้แจงที่ติดมากับกล่องให้เข้าใจ
6.ทดลองย้อมผมดูสักปอยหนึ่ง เพื่อดูสีดูความเปราะของเส้นผม
7.การเลือกสีย้อม ควรเลือกให้เข้ากับสีผิว
8.ถ้วยหรือภาชนะที่ใส่น้ำยา ควรเป็นพลาสติกหรือแก้ว
9.น้ำยาที่เหลือจากการย้อมผม (ที่แบ่งมาใส่ขวดหรือถ้วยแก้วแล้ว) ควรทิ้งไป การผสมน้ำยาก็ไม่ควรทำไว้ก่อนนานๆ
10.ควรแนะนำผู้รับบริการแก้ไขผมที่เสียให้ดีเสียก่อน
11.ถ้าการทดลองย้อม ที่ทำมีปฏิกิริยาเป็นผื่น ไม่ควรย้อมผมให้ผู้รับบริการ
12.ถ้าจะล้างน้ำยาย้อมผม อย่าใส่แชมพูชนิดแรงๆ หรือชนิดที่เป็นด่าง
13.อย่าใช้น้ำร้อนๆ เพื่อจะล้างสีย้อมผม
14.เพื่อกันการเปรอะเปื้อน ขณะย้อมให้ใช้ผ้าคลุมทับเสื้อผ้าให้เรียบร้อย
15.ระวังอย่าให้ยาย้อมผมเข้าตา
16.เวลาย้อมผมต้องใส่ถุงมือเสมอ

หลักการเปลี่ยนสีผมหรือการย้อมผม
การเปลี่ยนสีผม หรือการย้อมผม เป็นการเติมสีทางวิทยาศาสตร์เข้าไปในเซลล์สีของเส้นผมทำให้สีของเส้นผมเข้มหรือจางตามต้องการ มีวิธีการเปลี่ยนสีผม 3 วิธี
1.วิธีการเปลี่ยนสีผมแบบย้อมผม
เป็นการเปลี่ยนสีผมโดยใช้ยาย้อมผมชนิดน้ำ ผสมกับไฮโดรเยน ทำให้ผมหงอกขาวเป็นผมสีดำตามต้องการ มีวิธีการปฏิบัติ ดังนี้
1.การผสมน้ำยาย้อมผม น้ำยาย้อมผมจะเป็นน้ำเหลวๆ ผสมกับไฮโดรเยน ลงในถ้วยพลาสติกหรือถ้วยแก้ว ใช้แปรงคนให้เข้ากัน
2.ทำความสะอาดผมให้สะอาดด้วยแชมพู ซึ่งเวลาสระผมห้ามเกาเด็ดขาด เพราะจะทำให้ศีรษะแสบในเวลาย้อมผม
3.การแบ่งผม โดยเป่าผมให้แห้ง และแบ่งผมออกเป็น 4 ส่วน ส่วนกลางหน้าผากไปท้ายทอย และจากหูข้างหนึ่งไปที่หูอีกข้างหนึ่ง
4.การทาน้ำมันแข็ง ให้ทารอบบริเวณหน้าผาก ใบหูและคอ เพื่อป้องกันน้ำยาย้อมผมเปื้อนและเช็ดคำความสะอาดได้ง่ายขึ้น
5.การใช้ผ้าคลุม ให้ใช้ผ้าคลุมและพลาสติกคลุมทับอีกชั้นหนึ่ง ป้องกันน้ำยาย้อมหยดลงเปื้อนเสื้อผ้า
6.การย้อมผม ถ้าผมหงอกให้ย้อมผมจากด้านหน้า ด้านข้างกลางศีรษะและด้านหลังผมหงอกขาวใช้แปรงแตะน้ำยาย้อมทาจากโคนผมทามาปลายผม ให้สีกลมกลืนกัน
7.การอบผม ให้หวีผมที่ย้อมทั้งหมดรวบขึ้นและหนีบด้วยปากเป็ด นำเข้าอบให้ผมแห้งประมาณ 30 นาที (หรือตามเวลาที่ระบุไว้ข้างกล่องสีแต่ละชนิด)
8.การสระผม เมื่อผมแห้งแล้วสระผมด้วยแชมพู ถ้าหากเปื้อนยาย้อมตามไรผมและผิวหนังใช้สำลีชุบยาดัดเช็ดออก เมื่อล้างสะอาดดีแล้วใส่ครีมนวดผม ล้างผมให้สะอาด และเช็ดให้แห้ง
9.หลังการย้อมผมเรียบร้อยแล้วขั้นตอนการจัดแต่งทรง ให้ใช้ผลิตภัณฑ์เจล หรือครีมบำรุงจัดแต่งทรงผมใส่เล็กน้อย ก่อนเซ็ทผมตามรูปทรงที่ต้องการ
สีของเส้นผม


สีของเส้นผม
สีธรรมชาติของเส้นผมเกิดขึ้นเนื่องจาก เม็ดสี (เมลานิน) ซึ่งส่วนมากอยู่ในส่วนกลางของเส้นผม การวิเคราะห์วิจัยทางวิทยาศาสตร์ ถึงสีของเส้นผมจำนวนมากมายได้พบว่ามีเม็ดสีตามธรรมชาติต่างกันอยู่เพียง 4 ชนิดเท่านั้น นั้นคือ ดำ,น้ำตาล,เหลือง,แดง เม็ดสีทั้ง 4 ชนิด จะผสมกันแล้ว ปรากฏขึ้นเป็นสีของเส้นผมเสมอไป
-สีดำ ผมสีดำส่วนมากเป็นการผสมของเม็ดสีดำและน้ำตาล เส้นผมของชาวเอเชียถูกยกเป็นตัวอย่างหนึ่งของผมดำแท้ในกรณีเช่นนี้ สีดำเป็นเม็ดสีผมที่มีลักษณะเด่น
-สีน้ำตาล จากสีผมธรรมชาติ สีน้ำตาลส่วนใหญ่พบในเส้นผมของหญิงผิวคล้ำ ส่วนผสมของเม็ดสีน้ำตาลและดำทำให้ผมเป็นสีน้ำตาลเข้ม
-สีเหลือง ผมบลอนด์ธรรมชาติ ประกอบด้วยเม็ดสีเหลืองในส่วนผสมกับสีน้ำตาบและแดงในจำนวนต่างกัน สีเหลืองนี้เป็นลำดับสีที่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายที่สุดในการย้อมผม
-สีแดง เม็ดสีแดงมักพบบ่อยๆ พร้อมกับเม็ดสีดำ ซึ่งให้ลำดับสีน้ำตาลปนแดงที่น่าดูมาก
กลุ่มสี
กลุ่มสีมีอยู่ 2 กลุ่ม แบ่งออกอย่างกว้างๆ เป็นสีร้อน และสีเย็น
สีร้อน คือ เหลือง ส้ม แดง สีทอง สีทองปนแดง สีแดงเข้ม สีน้ำตาล
**ครั้งแรกสิ่งที่ต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนสีผม คือสีร้อนนั้น ให้เริ่มย้อมห่างจากศีรษะประมาณ 1.5 เซนติเมตร ไปตลอดปลายผมก่อนจะย้อมโคนผม ทั้งนี้เพราะสีร้อนจะทำปฏิกิริยาเร็ว
สีเย็น คือ สีเขียว น้ำเงิน ม่วง สีเขียว สีม่วง สีมุก สีขี้เถ้า
**ในทางตรงกันข้าม สีเย็นควรย้อมให้ชิดหนังศีรษะก่อนเสมอ แล้วจึงหวีให้ทั่วตลอดเส้นผม สีเย็นนั้นจะมีเม็ดสีใหญ่กว่า และต้องใช้ระยะเวลานานในการทำปฏิกิริยาต่อเส้นผมที่งอกใหม่ที่หนังศีรษะ

ศาสตร์สีสัน
สีขั้นที่ 1
เหลือง+แดง เหลือง+น้ำเงิน น้ำเงิน+แดง
ส้ม เขียว ม่วง
สีขั้นที่ 2
แดง+ส้ม น้ำเงิน+เขียว น้ำเงิน+ม่วง
แดงส้ม เขียวแก่ ม่วงเข้ม
สีขั้นที่ 3
เหลือง+ส้ม เขียว+เหลือง ม่วง+แดง
ส้มอ่อน เขียวอ่อน ม่วงแดง
สีขั้นที่ 4
เหลือง+แดง+น้ำเงิน แดง+เหลือง+ขาว
กลุ่มสีร้อน และกลุ่มสีเย็น

Tipstoday
-เส้นผมบริเวณหนังศีรษะจะใช้เวลาน้อยกว่าส่วนอื่น เพราะบริเวณนี้ได้รับความร้อนจากร่างกาย ด้วยเหตุนี้ผมบริเวณใกล้เคียงหนังศีรษะจะทายาย้อมหรือยาโกรกผม หลังจากส่วนอื่นของเส้นผมได้รับสีไปแล้ว เพื่อจะได้รับสีเท่ากัน
-ย้อมผมหงอก ย้อมบริเวณที่ขาวก่อนส่วนอื่น
-ขณะป้ายยาแบ่งผมบางๆ แปรงป้ายยาโกรกสีผม ทั้งด้านหน้าและด้านในเส้นผมให้ทั่ว ไม่ควรทำไปหวีไป เพราะอาจทำให้ครีมติดที่หวีเป็นส่วนใหญ่หรือหวีอาจครูดกับหนังศีรษะเป็นแผลหรืออาจไปสะกิดกระทบกับเกล็ดผม ทำให้ผมฉีกขาด อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ย้อมสีไม่ติด สีไม่สม่ำเสมอหรือผมแห้ง

ประภทของยาย้อมผม
ยาย้อมผมแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ 3 ประเภทคือ
1.ประเภทใส่สีชั่วคราว
สีประเภทนี้นับเป็นการใส่เคลือบผมอย่างอ่อนที่สุด เรียกว่า คัลเล่อร์รินส์ ใช้สำหรับเคลือบสีเส้นผมชั้นนอกให้ดูสดใสหายซีดและเข้มขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย เช่นคนที่ตากแดดจนผมสีไม่เท่ากัน ก็ไม่ถึงกับต้องย้อมผมแค่ใส่คัลเลอร์รินส์ก็พอจะเคลือบผมอยู่ได้จากการสระหนหนึ่งไปถึงหนึ่ง และไม่สามารถปกปิดผมหงอกได้ แต่ช่วยให้ผมที่หงอกไม่มากมีสีกลมกลืนกับสีผมธรรมชาติได้
คัลเลอร์รินส์ นี้ส่วนใหญ่เป็นน้ำมีให้เลือกหลายสีทั้งสีอ่อนและสีแก่แต่ไม่นิยมใช้ในประเทศไทยที่เราใช้กันอยู่ก็แค่สีสเปรย์ ซึ่งจัดอยู่ในจำพวกสีชั่วคราวเหมือนกัน
2.ประเภทสีกึ่งถาวร
สีประเภทนี้นิยมเรียกกันว่าสีโกรกผม ซึ่งจะได้ไม่ปนกับยาโกรกอื่นๆ เช่น ยาโกรกหลังดัดผม สีโกรกผมนี้จะแทรกซึมพันปลอกผมชั้นนอกเข้าไปในเส้นผม ทำให้ผมมีสีเข้มขึ้น แต่ปิดหงอกได้ไม่หมดถ้าผมหงอกไม่เกิน 30 % สีโกรกผมนี้จะยังช่วยปกปิดความหงอกได้ดีอยู่ทั้งนี้สีประเภทนี้จะอยู่ทนไม่เกินการสระ 6 ครั้ง เพราะทุกครั้งที่สระผมสีโกรกผมก็จะหลุดลอกออกไปทีละน้อย
ผลดีของสีโกรกผม ก็คือจะไม่ระคายเคืองศีรษะ พอผมหงอกขึ้นมาใหม่จะไม่มีเส้นตัดสีระหว่างผมขึ้นใหม่กับผมที่โกรกสีไว้ ทำให้ดูเป็นธรรมชาติดีมากแม้จะเว้นระยะการโกรกสีไปนานๆ ก็ไม่เป็นไร (สีโกรกประเภทกึ่งถาวรนี้ไม่จำเป็นต้องผสมกับไฮโดรเจนเปอร์อ๊อกไซด์)
3.ประเภทสีถาวร
สีประเภทนี้จะเป็นสีที่ติดผมและปกปิดผมได้ โดยสระแล้วสีไม่ลอกออกสีประเภทนี้เราเรียกกันทั่วไปว่า สีย้อมผม (เพอร์มาเนททินส์) หรือแฮร์ไดย์ ซึ่งต้องอาศัยไฮโดรเจนเปอร์อ๊อกไซด์ 6% หรือ 9 % ผสมด้วย สีจึงจะทำงานล็อคเซลสีเทียนไว้ในเส้นผมได้
ผมหงอกที่ย้อมสีประเภทนี้สระก็ไม่ลอกออกสีจะติดอยู่ในผมเลยต่อเมื่อผมใหม่ขึ้นจึงจะเห็นสีเดิมหรือผมหงอกซึ่งควรย้อมซ้ำเฉพาะโคนที่ข้นมาใหม่เท่านั้น ถ้าย้อมทับผมที่ย้อมแล้วเดิมหลายครั้งผมจะกระด้างสีทึบและด้านหมดความเงางามตามธรรมชาติไป
ข้อสำคัญ สีที่เป็นพาราไดย์นี้ควรทดสอบก่อนใช้ครั้งแรก 48 ชั่วโมงเพราะมีผลข้างเคียงทำให้มีการแพ้ได้เวลาแพ้จะมีอาการหูบวม ตาบวม หลังหูอาจอักเสบจนน้ำเหลืองเยิ้มรู้สึกแสบเป็นต้น
มีลูกค้าร้านทำผมจำนวนไม่น้อยที่ไม่ชอบย้อมผมต้องการจะโกรกสีผมเท่านั้น แต่มีข้อแม้ว่าสีต้องติดผมหงอกช่างไม่ทราบจะทำอย่างไร ก็เลยเรียกสีย้อมผมว่าเป็นสีโกรกผม เพื่อให้ลูกค้าสบายใจ ดังนั้นส่วนใหญ่ที่เป็นอยู่ในสมัยนี้การโกรกผมก็คือการย้อมผมนั่นเอง ทั้งผู้ใช้และผู้ให้บริการควรจะทำความเข้าใจและเรียกกันให้ถูกจริงกันเสียทีว่าสีย้อมก็คือ สีย้อม สีโกรกก็คือสีโกรก ไม่ใช่ประเภทเดียวกัน
วิธีเปลี่ยนสีผมแบบโกรกผม

วิธีเปลี่ยนสีผมแบบโกรกผม
เป็นการเปลี่ยนสีผมที่ใช้น้ำยาชนิดครีมหรือชนิดน้ำ การย้อมง่ายและย้อมครั้งเดียวก็ใช้ได้ โดยไม่ต้องสระผมก่อนย้อม ให้ปรับสีตามธรรมชาติได้ตามต้องการ โดยมีวิธีการปฏิบัติดังนี้
1.การใช้น้ำยาโกรกผม ให้ใช้สำหรับผมหงอกโดยเฉพาะ มีลักษณะเป็นครีมข้น บีบลงในถ้วยพลาสติก หรือถ้วยแก้วจนหมดหลอด
2.การผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 6 % สำหรับผมหงอก ค่อยๆเทไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ที่ละน้อย จนหมดขวด ใช้แปรงคนครีมกับไฮไดรเจนเปอร์ออกไซด์คนเข้ากัน เพื่อไม่ให้สีเป็นก้อนหรือเป็นเม็ด และไม่เกิดฟอง
3.ก่อนจะย้อมผม ให้ตรวจดูสภาพของเส้นผมก่อนว่าเคยย้อมผมดำมาก่อน และผมมันมาก ถ้าหากไม่เคยย้อมผมดำและผมไม่มัน ไม่จำเป็นต้องสระผมก่อน ยกเว้นกรณีที่เส้นผมมันมากก็สระผมก่อน ห้ามเกาเด็ดขาด
4.การแบ่งผม ให้แบ่งผมออกเป็น 4 ส่วนแบ่งเช่นเดียวกับการย้อมผม
5.การย้อมผม จะต้องสวมถุงมือ เพื่อความสะดวกในการย้อมและได้สีที่สม่ำเสมอทาครีมที่ผสมไว้แล้วทาลงที่รอยแบ่งที่ 4 ก่อน
6.การทาผมด้านหน้า โยแบ่งจากด้านหน้าตรงกลางศีรษะหวีให้เรียบก่อนค่อยๆ ทาผมทีละช่อจนเสร็จ ห้ามหวีเด็ดขาด ทาจนหมดผมด้านหน้า
7.การทาผมด้านหลัง ให้ทาทีละช่อ เช่นเดียวกับด้านหน้า เริ่มจากช่วงกลางศีรษะด้านหลัง ก่อนทายาโกรก อย่าลืมหวีผมให้เรียบทาจากโคนผมถึงปลายผม แล้วห้ามหวี
8.เมื่อทาผมเสร็จทั่วศีรษะแล้ว ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที
9.การฉีดน้ำทั่วศีรษะ ให้ฉีดน้ำทั่วศีรษะพอหมาดๆ
10.การนวดผม โดยนวดด้วยมือที่ใส่ถุงมือ นวดให้ทั่วศีรษะ ทิ้งไว้สักครู่
11.การสระผม ให้สระผมโดยใช้แชมพูอ่อนๆ และใส่ครีมนวดผม นวดผมแล้วล้างอกด้วยน้ำให้สะอาด
12.การใส่น้ำมันเหลว ให้ใส่เพียงเล็กน้อยเซ็ทผมตามรูปทรงที่ต้องการ
วิธีเปลี่ยนสีผมแบบโลชั่นปรับสีผม



วิธีเปลี่ยนสีผมแบบโลชั่นปรับสีผม
เป็นการใช้โลชั่นปรับสภาพของสีเส้นผมหรือเคลือบเส้นผมที่แห้งหรือแตกปลาย ใช้ได้บ่อยเท่าที่ต้องการ และผสมสีได้ตามใจชอบ มีวิธีการปฏิบัติดังนี้
1.การสระผม โดยสระผมให้สะอาดห้ามเกา ซับน้ำที่เส้นผมด้วยผ้าขนหนูพอหมาดๆ
2.การสางผม ให้สางผมและแบ่งผมเป็นช่อๆ คลุมต้นคอด้วยผ้าคลุมกันเปื้อน
3.การใช้โลชั่นปรับสีผม นำโลชั่นปรับสีผมออกจากกล่อง และเขย่าขวด หยอดลงบนเส้นผมทีละช่อ เพื่อให้สีผมสม่ำเสมอกัน ทำเช่นนี้จนทั่วทั้งศีรษะแล้วนวดผม
4.การคลุมผม ให้คลุมผมด้วยหมวกพลาสติกทิ้งไว้ 30 นาที ถ้าผมหงอกทิ้งไว้ 45 นาทีล้างโลชั่นปรับสีผมออกใส่แชมพูอ่อนๆ นวดด้วยครีมนวดและล้างออกด้วยน้ำสะอาด
หลักการเปลี่ยนสีผมแบบกัดสีผม
เป็นการฟอกเม็ดสีของเส้นผมเดิมให้จางลงตามความต้องการ มีการเปลี่ยนสีผมแบบกัดสีผม 3 วิธีเช่นกัน
1.วิธีเปลี่ยนสีผมแบบกัดสีผมบางส่วน
เป็นเทคนิคการเล่นสีผม เพื่อให้ทรงผมเด่นชัดขึ้น มีวิธีการทำดังนี้
-บีบครีมฟอกสีผมกับไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 9% ผสมจนเป็นครีมคล้ายแป้งเปียกลงในถ้วยพลาสติกให้เข้ากัน
-การจัดรูปทรงผม โดยการหวีผมให้เข้ารูปทรง ในกรณีที่เส้นผมมันมาก ให้สระผมโดยไม่เกา 1-2 ครั้ง
-การสวมหมวกพลาสติก โดยสวมหมวกชนิดมีรู ให้ตะเข็บของหมวกตรงกับรอยแสกของผม
-การใช้เข็มควักดึงเส้นผม ให้ดึงผมขึ้นมาตามรูของหมวก ด้านหน้าเป็นจุดเริ่มต้น
-การดึงเส้นผม ให้ดึงเส้นผมเป็นแนวตามรอยตะเข็บ
-การใช้แปรงย้อมผม ใช้แปรงตักครีมฟอกที่ผสมไว้ลูบที่เส้นผมที่ดึงออกมาให้ทั่ว
-การใช้กระดาษตะกั่วคลุมผม เพื่อไม่ให้มีอากาศเข้าได้
-การดูสีผม ให้ดูหลังจากสีผมจางลงเท่าที่ต้องการแล้วล้างออกให้สะอาด ก่อนเอาหมวกพลาสติกออก เช็คผมพอหมาดๆ และไดร์ผมตามรูปทรง
2.วิธีเปลี่ยนสีผมแบบกัดสีผมทั้งศีรษะ
เป็นการกัดฟอกเม็ดสีของเส้นผมเดิมให้เป็นสีขาวทั้งศีรษะ มีวิธีการทำดังนี้
-การสระผมก่อนฟอกสีผม ควรสระผมให้สะอาด ห้ามเกาศีรษะโดยเด็ดขาด
-การผสมครีมฟอกสีผม โดยบีบครีมฟอกสีผมลงในถ้วยพลาสติกให้หมดหลอด และเทไฮไดรเจนเปอร์ออกไซด์ 9% ผสมให้หมดขวด ผสมจนเป็นครีมคล้ายแป้งเปียก
-การแบ่งผม ให้แบ่งออกเป็น 4 ส่วนแบ่งผมเช่นเดียวกับการย้อมผม
-การคลุมไหล่ด้วยผ้าขนหนูและคลุมทับด้วยผ้ากันเปื้อน เพื่อป้องกันน้ำยาเปื้อนเสื้อผ้า
-การฟอกสีผม โดยฟอกจากท้ายทอยให้ห่างจากโคนผมประมาณ ½ นิ้ว
-การฟอกสีผมด้านหน้า ให้ฟอกสีผมเช่นเดียวกับท้ายทอย
-การฟอกสีโคนผม หลังจากฟอกสีผมจนทั่วทั้งศีรษะแล้ว ใช้แปรงฟอกย้ำโคนผมอีกครั้งหนึ่ง
-การนวดผม ให้นวดผมทั่วทั้งศีรษะอีกครั้งหนึ่ง แล้วทิ้งไว้ประมาณ 45 นาที
-การดูสีผม ให้ดูสีผมอ่อนๆ ตามต้องการ
-การสระผม เมื่อได้สีตามต้องการแล้ว สระผมด้วยแชมพูให้สะอาด นวดครีมนวดและเช็ดผมให้แห้ง
3.วิธีเปลี่ยนสีผมแบบกัดและย้อมสีผมใหม่
เป็นการกัดฟอกสีผมเดิมให้เป็นสีขาว และทำการย้อมสีผมใหม่ตามต้องการ มีวิธีการทำดังนี้
-ผมก่อนกัดฟอกสีผม สระผมให้สะอาดโดยไม่ต้องเกาหนังศีรษะ และเป่าไดร์ให้แห้ง
-การแบ่งผม ให้แบ่งออกเป็น 4 ส่วน เช่นเดียวกับการย้อมผม
-การผสมยาฟอกสีผม บีบยาฟอกสีลงในถ้วยพลาสติก และเทไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 9 % ผสมให้เข้ากันคล้ายแป้งเปียก
-การกัดฟอกสีผมด้านหลัง ให้กัดฟอกสีผมจากด้านหลังไปหาด้านหน้า เป็นขอบตามที่ต้องการ และห่างโคนผม ½ นิ้ว
-การกัดฟอกสีผมด้านหน้า ปล่อยผมด้านหน้าที่แบ่งไว้ลงมากัดฟอกให้หมด
-การทายาฟอกสีผม โดยทาให้ทั่วศีรษะทาถึงโคนผม และขอบผมตามที่ต้องการ
-การนวดผม โดยใช้มือขยี้ยาฟอกสีผมและนวดให้ทั่วศีรษะ
-การล้างผมให้สะอาด เมื่อทายาฟอกสีผมเรียบร้อยแล้ว ทิ้งไว้ประมาณ 45 นาที นำไปสระผมด้วยแชมพูแล้วล้างออกด้วยน้ำให้สะอาด
-ขอบผม ผมที่ฟอกแล้วจะเป็นสีทองและเป็นขอบทั้งศีรษะ
-การฟอกสีผมด้านหลัง เมื่อเสร็จแล้วปล่อยทิ้งไว้ผมท้ายทอยจะดำ
-การผสมสีย้อมผม หลังจากกัดผมเป็นสีทองแล้วก็ผสมสีย้อมผม บีบลงในถ้วยและเทไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 9% ผสมจนคล้ายแป้งเปียก
-การแบ่งผม ให้แบ่งผมและย้อมทับลงไปบนผมที่กัดสีผมแล้วให้ทั่วศีรษะ
-การกัดสีผม เมื่อกัดสีผมเสร็จแล้วทิ้งไว้ระยะเวลา 20-30 นาที นำไปสระผม นวดด้วยครีมนวดผมและล้างออกด้วยน้ำให้สะอาด
-การไดร์ผม ให้ไดร์ผมตามรูปทรงที่ต้องการ ผมที่ออกมาจะมีสีแดงออกม่วง
ไขข้อข้องใจการทำสีผม


ไขข้อข้องใจการทำสีผม
ถาม จะทราบได้อย่างไรคะว่าสีผมที่เลือกใช้นั้นเข้ากับสีผิวหรือไม่
ตอบ ก่อนอื่นให้ดูว่าสีผิวของคุณจัดว่าเป็นโทนร้อน (ออกแดง) หรือเป็นโทนเย็น (ออกฟ้า) ถ้าคุณไม่ทราบวิธีทดสอบง่ายๆ โดยลองใส่เสื้อยืดสีขาว แล้วก็ใส่เสื้อยืดสีเบจ ถ้าเสื้อขาวเข้ากับสีผิวของคุณได้ดีกว่าแสดงว่าสีผิวของคุณออกเย็น แต่ถ้าสีเบจเข้ากันดีกับสีผิวของคุณ ก็แสดงว่าสีผิวเป็นโทนร้อนค่ะ จากนั้นจึงเลือกสีผมให้เข้ากับสีผิวของคุณ
สำหรับผิวโทนสีร้อนก็เหมาะกับผมสีแดง สีน้ำตาล และสีน้ำตาลอมแดง
ส่วนผิวที่มีโทนสีเย็นนั้นเหมาะกับผมดำที่ออกเฉดม่วงเข้ม เทาเข้ม หรือไม่ก็น้ำเงินเข้มค่ะ ลองใช้สีที่ดูกลมกลืนกับผมเดิมก่อน แล้วจึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีที่สะดุดตายิ่งขึ้น

ถาม คอนดิชันเนอร์จำเป็นต่อผมย้อมหรือไม่คะ
ตอบ จำเป็นค่ะ เพราะคอนดิชันเนอร์จะช่วยปิดเกล็ดผม และปรับระดับความเป็นกรด-ด่างให้สมดุล ผมจึงคงความสวยงามและมีสุขภาพดี

ถาม ผมย้อมควรใส่คอนดิชันเนอร์บ่อยแค่ไหนคะ
ตอบ ควรใช้คอนดิชันเนอร์ทุกครั้งที่สระผมค่ะ และเลือกใช้ผลิติภัณฑ์บำรุงสีผมโดยเฉพาะ

ถาม ขณะที่ทำสีผม จะมีวิธีลบน้ำยาย้อมผมที่เลอะตามแนวไรผมได้อย่างไรคะ
ตอบ น้ำยาย้อมผมจะลบสีด้วยกันเองได้ค่ะวิธีการก็คือ ให้แบ่งน้ำยาย้อมผมออกมาเล็กน้อยโดยอาจจะป้ายมาจากผมบนศีรษะหรือบีบออกจากขวดก็ได้ เติมน้ำลงไปเล็กน้อย ทาตรงไรผมและใช้ผ้านุ่มๆ เช็ดออกจนกระทั่งรอยเลอะจางหายไปแต่ถ้าน้ำยาย้อมผมเป็นสีเฉดดำซึ่งล้างออกยาก ก็ให้ใช้เถ้าบุหรี่เล็กน้อยมาช่วยลบออกก็ได้เช่นเดียวกัน

ถาม ผลิตภัณฑ์สารพัดเพื่อการบำรุงเส้นผมจะมีผลอะไรต่อสีผมหรือไม่คะ
ตอบ ผลิตภัณฑ์บำรุงผมอาทิ คอนดิชันเนอร์ ครีมบำรุงหนังศีรษะ ครีมตกแต่งทรงผม มอยเจอร์ไรเซอร์ไม่มีผลเสียต่อสีผมแต่อย่างใด แต่ถ้าคุณย้อมผมด้วยน้ำยาย้อมผมชนิดกึ่งถาวร และใช้น้ำยาดัดที่มีส่วนผสมของกลีเซอรีนนั้น ผลิตภัณฑ์บำรุงผมก็อาจจะเป็นตัวการให้สีผมซีดจางเร็วกว่าปกติคะ

ถาม การเปลี่ยนสีผมจะช่วยให้ดูดีขึ้นได้อย่างไร
ตอบ การเปลี่ยนสีผมเป็นวิธีจะช่วยให้คุณดูแปลกใหม่ได้อย่างรวดเร็วที่สุด การทำสีผมใหม่มีผลให้ผิวดูใสสว่างขึ้น และยังจะช่วยให้คุณรู้สึกสดใสขึ้นทั้งในด้านจิตใจและอารมณ์ ถ้าคุณต้องการจะเปลี่ยนสีผมซึ่งแตกต่างจากสีเดิมมาก ทางที่ดีควรปรึกษาช่างมืออาชีพก่อนการตัดสินใจค่ะ

ถาม ในกรณีที่ช่างผมทำสีผมให้แล้ว ทว่าสียังไม่ได้ที่เพราะล้างออกเร็วเกินไป เช่นนี้แล้ว ดิฉันจะทำสีผมอีกครั้งได้เมื่อไรคะ
ตอบ อย่างน้อยสัก 24 ชั่วโมงค่ะเพื่อจะไม่กระทบกระเทือนต่อผิวบางๆ บนหนังศีรษะจนเกินไป
รูปภาพ แฟชั่นทรงผม ผมหน้าม้า ผมดัด ที่กำลังเป็นที่นิยมมากในขณะนี้






แฟชั่นทรงผมดารา
วันนี้แสนเสน่ห์เอาแฟชั่นทรงผมดารามาฝากกัน
ใครชอบทรงไหน ถูกใจทรงไหน
คลิกที่รูปเพื่อดูรูปอื่นๆอีกมากมายได้เลย
ลองดูเล่นๆเพลินตาไปก่อนนะจ๊ะ
อยากดูทรงผมของดาราคนไหนเป็นพิเศษ
รีเควสได้เดี๋ยวจัดให้เลยจ้า....
คลิกเลยจ้า!!!
........................
.............
.....







วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552

แฟชั่น ทรงผมสั้น เลือกให้เหมาะกับรูปหน้า



ไว้ผมยาวกันมานาน อยากลองเปลี่ยนสไตล์เป็นผมสั้นกันบ้างไหม แต่ก่อนที่หั่นผมสลวยทิ้งไป อย่าลืมคิดก่อนว่ารูปหน้าของคุณจะเหมาะกับทรงผมสั้นแบบไหน

- หน้ารูปไข่ รูปหน้าของคุณเป็นรูปหน้าที่ไม่ว่าจะทำทรงไหนก็เข้ากั๊น...เข้ากัน จะสั้นมากสั้นน้อย บ๊อบเท หรือสไลซ์บางๆ ก็สวยทั้งนั้น

- หน้ากลม ถึงหน้าจะกลมก็ตัดผมสั้นได้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องตัดสั้นแต่แนวขากรรไกร เพื่อให้เส้นผมช่วยปิดช่วงกรามไว้

- หน้ารูปหัวใจ ลักษณะเด่นของใบหน้าคุณคือหน้าผากกับช่วงแก้มจะกว้าง แต่ส่วนขากรรไกร ปลายคางจะแหลมและแคบแทน คุณจึงต้องทำทรงที่ปิดความกว้างของหน้าผาก เช่น ตัดเป็นผมม้า หรือแสกข้างเพื่อปิดหน้าผากไว้ส่วนหนึ่ง เพื่อสงวนจุดต่าง พรางจุดด้อย แค่นี้ก็สวยแล้ว

- หน้าเหลี่ยม สาวหน้าเหลี่ยมไม่เหมาะกับผมสั้นๆ สักเท่าไหร่ เพราะความสั้นจะไปเปิดเผยความเหลี่ยมให้ยิ่งเห็นชัด ถ้าคุณคิดจะเปลี่ยนสไตล์ด้วยผมสั้นก็ต้องเป็นทรงที่ไม่สั้นมาก อย่างน้อยก็ต้องยาวกว่าระดับคางลงไป

- หน้ายาว ถ้าสาวหน้ายาวริตัดผมสั้น ควรจะเป็นความสั้นที่ซอยด้านหน้าเป็นเลเยอร์หรือไล่ระดับถึงบริเวณคาง เพื่อเเพิ่มความอิ่มให้แก้ม รูปหน้าจะได้ดูสมส่วนกับเขาเสียที

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2552

สงกรานต์น่าเบื่อ

สงกรานต์ปีนี้เป็นปีที่น่าเบื่อที่สุด แต่ก็ไม่ถึงกับไม่ได้ออกไปเล่นน้ำเลยทีเดียว เมื่อวันที่ 13 เมษายน ได้ไปเล่นน้ำที่หัวหิน คนก็เยอะพอสมควรแต่ไม่เท่าปีก่อนๆ พอตอนเย็นๆเล่นน้ำเสร็จช่วงหัวค่ำก็ได้ไปเดินเล่นที่ตลาดโด้รุ่งของหัวหิน มีของขายมากมาย ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า และอาหารทะเล มีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติเดินซื้อของกันมากมายแต่ก็เดินเล่นได้ไม่นาน ก็เดินทางกลับบ้าน

วันที่ 19 เมษายน ได้ไปเที่ยวพัทยา เนื่องจากวันที่ 19 เป็นวันไหลของพัทยา แต่ก็ไม่สนุกเท่าที่ควร เพราะได้เห็นการเล่นน้ำของคนพัทยา รู้สึกว่าน่ากลัวมากแต่ละคนน่ากลัวทั้งนั้น เล่นกันแรงมาก พอเห็นดังนั้นจึงไม่อยากเล่น จึงไปทายอาหาร และก็กลับที่พัก วันที่ 20 จึงเดินทางกลับกรุงเทพฯ สงกรานต์ปีนี้จึงเป็นปีที่น่าเบื่อที่สุด

เสื้อแดงป่วนเมือง

เสื้อแดง!! พอได้ยินคำนี้ทีไรทำให้นึกถึงความวุ่นวาย ความป่าเถื่อน และปัญหาอีกต่างๆนาๆ เคยได้ลองดูช่องของคนเสื้อแดงที่ถ่ายทอดสดทางทีวี นั่งฟังอยู่พักหนึ่งก็เกิดความรำคาญเพราะไม่มีสาระสำคัญใดๆ มีแต่การด่าทอ พูดจาหยาบคาย จนกระทั่งวันที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นก็มาถึง วันที่พวกคนเสื้อแดงมาปิดล้อมถนนแทบทุกสาย ทำให้วุ่นวายกันทั้งกรุงเทพฯและยิ่งไปกว่านั้น พวกคนเสื้อแดงไม่เพียงแต่ปิดกั้นทางจราจรเพียงอย่างเดียว แต่พวกเสื้อแดงยังได้ทำลายทรัพย์สินของรัฐบาลต่างๆมากมาย เช่นทุบกระถางต้นไม้ตามข้างทาง ทำลายทุกอย่างที่พวกเสื้อแดงสามารถทำลายได้ ขณะเดียวกันที่พวกเสื้อแดงได้เดินประท้วงไปตามถนนเพื่อปิดกั้นทางจราจรพวกเสื้อแดงก็ทิ้งขยะไว้เต็มไปหมด ถนนกรุงเทพฯดูสกปรกไปโดยเร็วเพราะคนเสื้อแดง เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ทุกอย่างทั้งเสื่อมทั้งแย่เพราะคนเสื้อแดงแท้ๆ